PRANDA มั่นใจปีนี้มีกำไร คาดยอดขายโต 12% เงินบาทแข็งกระทบรายได้ไม่มาก

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 22, 2010 10:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายดุษิต จงสุทธนามณี เลขานุการบริษัท บมจ.แพรนด้า จิวเวลรี่(PRANDA)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า มั่นใจว่าทั้งปี 53 บริษัทยังมีผลกำไรสุทธิได้ แม้ในช่วงไตรมาส 2/53 จะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจนทำให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ แต่แนวโน้มไตรมาส 3/53 และ ไตรมาส 4/53 ผลการดำเนินงานของบริษัทยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง

ขณะที่แนวโน้มช่วงครึ่งปีหลัง คำสั่งซื้อสินค้ามีเข้ามาค่อนข้างมาก คาดว่ายอดขายไตรมาส 3/53 จะอยู่ระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 3/52 แต่ช่วงไตรมาส 4/53 ซึ่งจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของตลาดสินค้าอัญมณีและเครื่องประกับ จึงคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 3/53 แน่นอน

"ผลประกอบการที่ขาดทุนในไตรมาส 2 เกิดจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากบริษัทย่อยที่ให้กู้เงินเป็นเงินยูโร เงินปอนด์ เมื่อค่าเงินผันผวนทำให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ย แต่หากดูผลดำเนินงานของเราแล้วไม่ได้ขาดทุน ดังนั้นตอนนี้เรากำลังวางแนวทางแก้ปัญหา โดยจะมีการกู้จากสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงงานใหม่เป็นสกุลเงินยูโร เงินปอนด์ และเงินดอลลาร์ ผสมกัน เพื่อชดเชยปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งยอมรับว่าเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก แต่โดยรวมปีนี้เรายังคาดว่ายังมีกำไรได้" นายดุษิต กล่าว

ทั้งนี้ ในปี 53 คาดว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรขั้นต้น(gross margin) อยู่ที่ 30-35% และมีอัตรากำไรสุทธิ(net profit margin)อยู่ที่ 7-8% โดยขณะนี้ลูกค้ายังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และไม่มีการชะลอคำสั่งซื้อ จึงคาดว่ายอดขายของบริษัทในปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่ 12% จากปีก่อน

นายดุษิต กล่าวว่า สำหรับปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าขณะนี้ ส่งผลให้บริษัทมีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากลูกค้าการค้าด้วย เนื่องจากบริษัทจะคิดราคาขายจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ตกลงซื้อขาย อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการซื้อ Forward ประกันความเสี่ยงไว้แล้ว ประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ ซึ่งน่าจะเพียงพอชดเชยกับความเสี่ยงจากลูกค้าการค้าได้

"เงินบาทแข็งค่าไม่ได้กระทบรุนแรงมาก เพราะเราขายสินค้าเน้นลูกค้าแบรนด์ ซึ่งเป็นลูกค้าที่ไม่ได้ให้น้ำหนักต่อต้นทุนการผลิต แต่เน้นเรื่องดีไซน์ ทำให้ลูกค้าไม่ได้กังวลเรื่องค่าเงิน ดังนั้นเมื่อเงินบาทผัวผวนแข็งค่าไป 10% เราก็สามารถปรับราคาขายได้ และลูกค้าก็ยอมรับได้ ทำให้มาร์จิ้นเราไม่ได้ถูกกระทบมาก"นายดุษิต กล่าว

บริษัทยังเดินหน้าขยายสาขาในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมขยายตลาดไปยังประเทศรัสเซีย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพของตลาดที่น่าจะเปิดกว้าง และประชาชนมีกำลังซื้อเพียงพอ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อกฎหมาย ส่วนอเมริกาใต้ บราซิล หรือแอฟริกา คงไม่สนใจขยายตลาด เนื่องจากประชาชนยังไม่มีกำลังซื้อมากนัก แต่อาจเป็นการเข้าไปหากแหล่งวัตถุดิบมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีการเปิดร้านค้าในจีนแล้ว 10 แห่ง ซึ่งเป็นร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์พรีม่าโกลด์ และ Esse ส่วนปีหน้ามีแผนจะเปิดร้านค้าเพิ่มขึ้นอีก 10 แห่ง โดยที่ประเทศอินเดียได้มีการเปิดร้านค้าต้นแบบไปแล้ว 3 แห่ง เป็นแบรนด์พรีม่า อาร์ต และได้มีการเปิดร้านในลักษณะการขายเฟรนไชส์

"ระหว่างระหว่างการเปิดช็อปของเราเองกับขายแฟรนไชส์จะต่างกัน ซึ่งเปิดช็อปเองเราจะมี gross margin ประมาณ 35-45% แต่แฟรนไชส์จะอยู่ที่ 10% เพราะลูกค้าจะต้องไปบวกราคาขายเพิ่มอีก แต่เราก็จะเข้าไปควบคุมดูเรื่องราคาขายด้วย ส่วนลิขสิทธิแฟรนไชส์เราไม่ได้เก็บ" นายดุษิต กล่าว

นายดุษิต กล่าวอีกว่า บริษัทได้ชะลอการสร้างโรงงานแห่งใหม่ เป็นอาคาร 5 ชั้น วงเงินลงทุน 200 ล้านบาท จากเดิมจะเริ่มก่อสร้างในปีนี้ ได้เลื่อนก่อสร้างเป็นปีหน้า เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดของพิมพ์เขียว โดยโรงงานใหม่ มีพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร คาดว่าใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี โดยมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิม 20-30%

สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมที่ จ.นครราชสีมานั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตในโรงงานในเขตอุตสาหกรรมสุรนารี ซึ่งไม่ถูกน้ำท่วม ส่วนพนักงานบริษัทมีหอที่พักอยู่ใน Pranda Lodging ในนิคมอุตสาหกรรมเช่นกัน จึงไม่ได้มีผลต่อการผลิตแต่อย่างใด

ส่วนไฟไหม้โรงงานในกรุงเทพ อยู่ในส่วนของแผนกขัดอัญมณี ที่ไฟฟ้าลัดวงเจรเครื่องดูดเศษผงทอง ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาทำงาน ทำให้สามารถดับไฟได้ทัน มีความเสียหายประมาณ 6 ล้านบาท จากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เสียหาย รวมถึงเครื่อดูดเศษผง เครื่องปรับอากาศ และคอมพิวเตอร์บางส่วน และไม่ได้ส่งผลต่อการผลิตโดยรวม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ