โบรกเกอร์ ต่างเห้นพ้องแนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง(STEC)จากคาดการณ์กำไรสุทธิปี 53 สูงขึ้น 28-37% จากปีก่อนเป็น 390-418 ล้านบาท เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin)สูงเฉียด 10% และปี 54 อัตราเติบโตของกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 64-89% เป็น 738-685 ล้านบาท จากงานในมือ(Backlog)ที่ปัจจุบันมีสูงถึง 4.1 หมื่นล้านบาท มากสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท สร้างความมั่นคงให้บริษัทในอนาคต
นับตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปี 55 มีโอกาสได้งานใหม่ทั้งโรงไฟฟ้า IPP 4 โรง และงานรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต), สายสีเขียว หรือส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส , สายสีชมพู และสายสีสัม อีกทั้งบริษัทยังมีกระแสเงินสดสูง และแทบไม่มีหนี้กับสถาบันการเงิน
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.ธนชาต ซื้อ 18.00 บล.ไอร่า ซื้อ 17.30 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 17.20 บล.เกียรตินาคิน ซื้อลงทุน 16.65 บล.กสิกรไทย ซื้อ 16.20 บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ซื้อ 15.55 บล.เอเซียพลัส ซื้อ 15.16 บล.เคจีไอ ซื้อ 15.00 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 15.00 บล.กรุงศรีอยุธยา เก็งกำไร 14.50
นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)คาดว่า กำไรในไตรมาส 3/53 ออกมาสดใส โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 102 ล้านบาท เติบโต 34% YoY และเติบโต 7% QoQ เพราะไตรมาสนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นมาอยู่ที่ 9.8% เทียบกับปีที่แล้วมี Gross Profit Margin เพียง 4.2% เพราะช่วงปีก่อนยังมีงานแอร์พอร์ตลิงค์และศูนย์ราชการฯที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำ แต่มาปีนี้งานเหล่านี้เสร็จสิ้นไปหมดแล้ว
"ปีนี้ถือว่าเป็นปีทองของเขา เพราะได้งานใหม่เข้ามามากประมาณ 3 หมื่นล้านบาท และงานโรงไฟฟ้าที่เพิ่งได้ ทำให้ Backlog พุ่งขึ้นมาเป็น 4.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 48 ปี โดยรวมอนาคตดูดี งานใหญ่ยังมีอีก โดยเฉพาะงานรถไฟฟ้า"นายสมบัติ กล่าว
จากที่มี Backlog สูงเช่นนี้จะทำให้รายได้ของบริษัทมั่นคงใน 3-4 ปี ข้างหน้า และยังมีงานใหม่ๆ เข้ามาอีกโดยเฉพาะรถไฟฟ้า และ งานโรงไฟฟ้า IPP 4 โครงการ โดยบริษัทคาดว่าจะได้งานโรงไฟฟ้าอย่างน้อย 2 โครงการ
ดังนั้น จึงได้ปรับกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มเป็น 390 ล้านบาท หรือเติบโต 28% จากปีก่อน ส่วนปี 54 คาดมีกำไรสุทธิ 738 ล้านบาท เติบโต 89% โดยให้ราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 15.55 บาท เป็นราคาที่มี P/E 25 เท่า
ด้านนายชาตรี ศรีสมัยเจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เหตุผลที่แนะนำให้"ซื้อเก็งกำไร"หุ้น STEC เพราะเห็นว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่ำที่ระดับ 1-2% ยังไม่น่าจูงใจ โดยปี 53 คาดว่าจะจ่ายเงินปันผล 0.16 บาท/หุ้น และในปี 54 คาดจะจ่าย 0.26 บาท/หุ้น ประกอบกับหุ้นกลุ่มรับเหมามักจะเล่นตามกระแสข่าว จึงไม่เหมาะที่จะถือระยะยาว
อย่างไรก็ดี เห็นว่าผลประกอบการของ STEC ในปี 54 มีแนวโน้มเติบโตสูง โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นเป็น 685 ล้านบาท เติบโต 64% จากปี 53 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 418 ล้านบาท เติบโต 37% จากปีก่อน เนื่องจากปีนี้บริษัทมี Backlog สูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้งงานภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะงานโรงไฟฟ้าที่มีความถนัด และมีมาร์จิ้นสูงกว่างานรับเหมาอื่น โดยปลายปีนี้ถึงต้นปี 55 มีงานประมูลโรงไฟฟ้ารวมมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท เชื่อว่าหากได้งานเพิ่มก็จะทำให้มาร์จิ้นบริษัทดีขึ้นด้วย
"เท่าที่มองคาดการณ์ปีหน้าดีกว่ากลุ่ม เพราะมีงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนด้วย โดยงานภาครัฐเขาก็ถือว่าเป็นตัวเต็ง งานรถไฟฟ้าสีแดง บางซื่อ-รังสิต และส่วนต่อขยายบีทีเอส และเพิ่งได้งานโรงไฟฟ้า SPP 7 แห่ง ซึ่งเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้และงานโรงไฟฟ้าอนาคตก็ยังมีโอกาส" นายชาตรี กล่าว
นักวิเคราะห์จากบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ได้ปรับเป้าหมายหุ้น STEC ปี 54 เป็น 15.00 บาทจากปี 53 ที่ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท เพราะคาดการณ์รายได้และกำไรสุทธิในปี 54 จะดีขึ้น โดยรายได้จะเพิ่มเป็น 12,951 ล้านบาท เติบโต 56% จากปี 53 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 8,285 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิคาดไว้ที่ 601 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปีนี้คาดกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท แต่ปีนี้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 9.9%
ทั้งนี้ STEC มี Backlog สะสมรวมงานใหม่รอเซ็นสัญญาเท่ากับ 41,203 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีที่ผ่านมาที่ 17,212 ล้านบาท
ด้าน บล.เอเซียพลัส มีมุมมองอนาคตสดใสของ STEC จากงานรถไฟฟ้าและงานโรงไฟฟ้า โดยโครงสร้าง Backlog ปัจจุบันมาจากงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่งให้ gross margin สูง ในสัดส่วนที่สูงถึง 22% และมีความเป็นไปได้ที่ STEC จะชนะประมูลงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า IPP เข้ามาอีกในปี 54 ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากการดำเนินงานปี 54 ขึ้นจากเดิม 21% เป็น 719 ล้านบาท ส่งผลให้ Fair Value ที่กำหนดที่ PER 25 เท่า เพิ่มเป็น 15.16 บาท มี Upside จากราคาปัจจุบัน จึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก"ถือ"เป็น"ซื้อ"