นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมแผนลงทุนในช่วงปี 54-58 ไว้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท โดยเน้นการลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมี, ซิเมนต์ และการลงทุนในต่างประเทศ โดยมองรูปแบบการควบรวมกิจการ ซึ่งจะส่งผลการเติบโตได้เร็วกว่าการลงทุนตั้งแต่เริ่มต้น
"ตอนนี้แผน 5 ปี เราเน้นขยายไปยังต่างประเทศ โดยเงินลงทุนขั้นต่ำ 1 แสนล้านบาท แต่หากมีโอกาสเชื่อว่าจะมีโอกาสมากกว่านี้ เพราะต้องการคงความเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ไว้"นายกานต์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าที่ผ่านมาการเจรจาควบรวมกิจการบางดีลเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะธุรกิจปูนซิเมนต์ และกระดาษ อย่างเช่น โรงปูนซิเมนต์ในประเทศอินโดนีเซีย ที่บริษัทตัดสินใจเข้าไปลงทุนเองทั้งหมดมูลค่าลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทแทนการเข้าควบรวมกิจการ คาดจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 54
ส่วนการศึกษาการควบรวมกิจการในประเทศเวียดนาม ขณะนี้ยังมีการเจรจาอย่างใกล้ชิดทั้งกิจการปูนซิเมนต์และกระเดาษ ซึ่งหากได้ข้อสรุปจะเปิดเผยในเร็ว ๆ นี้
นอกจากนี้ อีก 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทมีแผนจะขยายกำลังการผลิตปูนซิเมนต์ที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาขนาดการขยายโรงงานว่าจะเพิ่มอีก 2.5 พันตัน/วัน หรือ 5 พันตัน/วัน
ขณะที่โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ในเวียดนาม ยังไม่สามารถสรุป Project Finance ได้ เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูง โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงต้นปี 54 โดยโครงการนี้ SCC ให้ความสำคัญและต้องการเร่งให้แล้วเสร็จ เพื่อไม่ให้มูลค่าการลงทุนปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาเครื่องจักร
*รับ Q4/53 น้ำท่วมกระเทือนยอดขาย ซ้ำปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงโอเลฟินส์
นายกานต์ กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4/53 คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมบ้าง แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นยังไม่ถึง 1 เดือนจึงยากประเมินสถานการณ์ แต่เชื่อว่าความต้องการใช้จริงในประเทศจะกลับมาหลังน้ำลด และจะดึขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 1/54
"รายได้ในไตรมาส 4 อาจจะไม่ดีนัก เนื่องจากเรามีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงโอเลฟินส์ที่ระยองด้วย ที่กำลังการผลิตจะหายไป 1.3 แสนตัน จากการปิดซ่อมบำรุง 40 วัน (พ.ย.) " นายกานต์ กล่าว
สำหรับทั้งปี 53 คาดว่า เป้าหมายการส่งออกปูนซิเมนต์จะต่ำกว่าคาดการณ์จากเดิมที่ 7.5-8 ล้านตัน มาอยู่ 7 ล้านตัน เนื่องจากตลาดภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นตลาดหลัก ประสบปัญหาน้ำท่วมเช่นเดียวกับประเทศไทย และค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้รายได้จากการส่งออกลดลง บริษัทจึงหันมาพึ่งพาตลาดในประเทศแทน
อย่างไรก็ตาม นายกานต์ กล่าวว่า การที่เงินบาทแข็งค่าทุก 1 บาท บริษัทได้รับผลกระทบจากกำไรสุทธิประมาณ 600 ล้านบาท แต่บริษัทก็รับรู้รายได้เป็นเงินสกุลดอลลาร์บางส่วนจากธุรกิจเคมีภัณฑ์และกระดาษจึงทำให้ไม่ได้รับผลกระทบเต็มจำนวน
ส่วนโครงการลงทุนในมาบตาพุด ขณะนี้ได้เริ่มเดินหน้าไปแล้ว 1 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับ ดาวเคมิคอล มีกำลังการผลิต 3.5 แสนตัน สำหรับโครงการในมาบตาพุดที่เหลือคาดว่าจะสามารถเปิดได้ครบทั้งหมดประมาณไตรมาส 3/54-ไตรมาส 4/54