SIRIเผย ต.ค.มียอดขาย 6.3 พันลบ.สูงทำนิวไฮ, Q4/53 เปิดใหม่ 11 โครงการ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 1, 2010 11:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า ในเดือน ต.ค. 53 ที่ผ่านมา บริษัทสร้างยอดขายรวมได้สูงสุดเป็นประวัติกาล รวม 6,300 ล้านบาท นับเป็นสัญญาณดี ซึ่งหากพิจารณาเชิงลึกแล้ว พบว่า ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังมีอยู่มาก และเท่าที่สำรวจส่วนใหญ่มักจะซื้อเพื่อการอยู่อาศัย

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในช่วงไตรมาส 4/53 นั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า แสนสิริพร้อมพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกเซกเมนต์ รวม 11 โครงการ มูลค่าโครงการขายรวม 18,900 ล้านบาท

แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,100 ล้านบาท

"แต่เดิมเราตั้งเป้าหมายยอดขายในไตรมาสนี้ไว้ที่ 9,000 ล้านบาท แต่เมื่อกระแสตอบรับในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมามากสุดเป็นประวัติกาล แสนสิริ จึงอยู่ระหว่างการปรับแผนการตลาดเชิงรุก เพื่อต่อยอดจังหวะการขายดังกล่าวให้เพิ่มสูงยิ่งขึ้น และจากการที่หลายบริษัทต่างออกมาสร้างความคึกคักในตลาด ยิ่งทำให้กระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า" นายเศรษฐา กล่าว

ทั้งนี้ผลวิจัยจากหลายภาคส่วนที่นำเสนอสู่ตลาดนั่น ยังระบุชัดเจนว่า ปริมาณการนำเสนอโครงการสู่มือผู้บริโภคยังอยู่ในภาวะที่สมดุล และอาจจะยังน้อยไปกับความต้องการในบางทำเลอีกด้วย

ดังนั้นอยากให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ยังไม่น่ากังวลดังที่หลายฝ่ายหวั่นวิตก เพราะในด้านผู้ประกอบการเองก็ต่างระมัดระวังในการพัฒนาโครงการ ทุกอย่างที่นำเสนอเชื่อว่าทุกค่ายต่างมั่นใจว่ามีกำลังซื้อเพื่อตอบสนองอยู่แล้ว ในขณะที่กลไกด้านการเงินก็เฝ้าระวังในการปล่อยสินเชื่อกว่าในอดีตที่ผ่านมาอย่างชัดเจน และที่สำคัญ ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ก็มีความรู้ในการเลือกซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นเช่นกัน และหากรวมความระมัดระวังของทั้ง 3 กลไก ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยยังอยู่ในสภาพที่พร้อมที่จะผลักดันให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างมั่นคง

"ผมเชื่อว่าตลาดอสังหาฯ จะยังมีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง เพราะถ้าเราดูปัจจัยหลายๆ ประการประกอบกันจะเห็นว่าล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยหนุนทั้งนั้น"นายเศรษฐา กล่าว

ทั้งนี้ ในด้านเศรษฐกิจ การเงิน ผลของการที่ค่าเงินบาทยังแข็งอยู่ สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์แล้วน่าจะเป็นผลดี เพราะน่าจะเห็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยในเรทที่ต่ำอยู่ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริงๆ มีความสามารถในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่าย ประกอบกับอัตราการขยายตัวของตัวเลข GDP ในปีนี้ที่ก็ยังมีอัตราที่ยังคงไว้ซึ่งตามที่คาดหมายไว้ แม้จะมีปัญหาเรื่องของความไม่สงบและอุทกภัยที่เกิดขึ้น แต่จากแนวโน้มที่ผ่านมาคาดว่าตัวเลขไม่น่าจะปรับลงต่ำกว่าเดิม

นอกจากนี้แล้วในเชิงสังคม เห็นได้ว่าผลสำรวจตัวเลขของสมาชิกในครอบครัวมีขนาดที่เล็กลง ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มการแยกครอบครัวสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยก็น่าจะเพิ่มตามไปด้วย และเมื่อประกอบกับการขยายแนวระบบขนส่งคมนาคมและสาธารณูปโภคพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าและถนนเส้นใหม่ รวมถึงภาคเอกชนที่มีการขยายตัวด้านอื่นๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว ยิ่งทำให้แนวโน้มของตลาดอสังหาฯ น่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ