บมจ.พรีบิลท์(PREB)ลั่นเดินถูกทางเพิ่มวงจรธุรกิจ-ลดความเสี่ยง รุกขึ้นโครงการอสังหาริมทรัพย์เน้นทำเลแนวรถไฟฟ้า ควบคู่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เสริมความแข็งแกร่งด้วยธุรกิจผลิตแผ่นพื้นและแผ่นผนังสำเร็จรูป เตรียมเดินหน้าขยายงานไปพร้อมกันทั้ง 3 ด้าน พร้อมขยายวงไปสู่ธุรกิจบ้านมือสองเพื่อใช้เป็นช่องทางศึกษาตลาดอสังหาฯ หลังตัดสินใจลุยพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ หวังช่วยผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นพุ่งเริ่มจากปี 54
"ปี 54 จะเป็นปีทอง เพราะเราปูเรื่องอสังหาฯมานานแล้ว ตอนนี้เราเป็นนางสาวไทย มีแต่คนมาจีบ...เราเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีธุรกิจอสังหาฯของตัวเอง สร้างเองขายเอง แล้วยังทำวัสดุก่อสร้างเอง ความเสี่ยงเราต่ำมาก ถ้าอสังหาฯแย่ เราก็ยังมีธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างที่มีกำไร แล้วตอนนี้งานรับเหมาก่อสร้างล้นมือ มีแต่คนวิ่งเข้ามาหา บางงานเราก็ต้องปฏิเสธไปด้วยซ้ำ"นายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PREB กล่าว
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปี 54 กำไรจะเติบโตมากกว่ารายได้ที่ตั้งเป้าเติบโตราว 30% หลังจากในปีนี้ที่กำไรน่าจะสูงขึ้นได้ถึง 100% ตามที่มีโบรกเกอร์ประมาณการไว้ โดยเฉพาะเมื่อได้เริ่มเข้ามาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ราว 30% จากปกติธุรกิจรับเหมามีมาร์จิ้นที่ 10% และธุรกิจผลิตแผ่นพื้น-ผนังสำเร็จรูปมีมาร์จิ้น 10%
อนึ่ง PREB ไตรมาส 2/53 มีกำไรสุทธิ 12.21 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.061 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.01 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.025 บาท และงวด 6 เดือนมีกำไรสุทธิ 24.76 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 7.8 ล้านบาท
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า ในแง่รายได้ปีหน้าคาดว่าจะทำได้ 2,747 ล้านบาท จากปีนี้มีรายได้ราว 2,035 ล้านบาท สัดส่วนรายได้ในปีหน้าหลักมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างราว 70% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจผลิตวัสดุก่อสร้างราว 30% ซึ่งบริษัทจะเดินหน้าธุรกิจทั้ง 3 ไปด้วยกัน
*เปิด 3-4 โครงการใหม่ปีหน้า ประเดิมรุกแนวราบ
นายชัยรัตน์ กล่าวถึงแผนธุรกิจในปี 54 บริษัทจะเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมอีก 2-3 โครงการภายใต้บริษัท บิลท์แลนด์ โดยเตรียมงบลงทุนซื้อที่ดินไว้แล้วประมาณ 1 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นการพัฒนาโครงการต่อเนื่องจากแผนเปิดโครงการซีรีย์ เดอะ เทมโป แห่งที่ 4 ที่รัชดานอกจากนั้นยังจะเริ่มรุกตลาดเข้าสู่โครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ประเดิมลงทุนโครงการแรกกว่า 200 ล้านบาท
"การตัดสินใจเข้าสู่ตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบจะส่งผลดีต่อการสร้างความสมดุลรายได้ให้กับบริษัท เนื่องจากการพัฒนาบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ แตกต่างจากคอนโดมิเนียม ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้รับรู้รายได้เมื่อสร้างเสร็จแล้วโอนกรรมสิทธิ์"นายชัยรัตน์ กล่าว
แนวโน้มภาคธุรกิจก่อสร้างและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังไปได้ดี การพัฒนาที่อยู่อาศัยในเขตเมือง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมตามแนวระบบขนส่งมวลชนน่าจะยังขยายตัว และไม่กังวลเรื่องภาวะอสังหาริมทรัพย์ล้นตลาด แต่ราคาขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นและข้อจำกัดทางด้านกฎหมายการจัดพื้นที่อาคารชุด แต่หากที่ดินอยู่ในทำเลดีอย่างแนวรถไฟฟ้าไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้
PREB ยังเตรียมจัดตั้งบริษัท สำหรับบริการหลังการขายให้กับลูกค้า ซึ่งจะต้องจัดตั้งให้ทันกับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มเข้ามาอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมเทมโป ร่วมฤดี ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนั้น ในอนาคตยังมองไปถึงการจัดตั้งบริษัทบ้านมือสอง โดยไม่ได้หวังเรื่องการทำรายได้หรือกำไร แต่มีจุดประสงค์หลักที่จะทำให้รู้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในแต่ละพื้นที่ และจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของบิลท์แลนด์
นอกจากนั้นจากการคาดการณ์ว่าที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์น่าจะกลับมาขยายตัวได้ดีในปีหน้า ดังนั้น บริษัท พีซีเอ็ม คอนสตรัคชั่น แมททีเรียล ก็จะขยายการลงทุนอีก 50 ล้านบาท เพื่อขยายการผลิตแผ่นพื้นสำเร็จรูปเป็น 2.5 หมื่นตารางเมตร/เดือน จากปัจจุบัน 5 พันตารางเมตร/เดือน และอาจมีการพิจารณาปรับขึ้นราคาขาย หากราคาวัสดุหลักอย่างปูนซิเมินต์ปรับสูงขึ้น
*เป้าปีหน้าได้งานก่อสร้างใหม่อีก 1.7 พันลบ.ดันงานในมือเพิ่ม
นายวิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ PREB กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างปีหน้าตั้งเป้ายอดรับงานใหม่เพิ่มเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1.7 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้จากงานในมือ(backlog)เดิม และงานใหม่ในปี 54 ประมาณ 1.9 พันล้านบาท โดยเฉพาะการทยอยรับรู้ฯโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่า 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการทยอยรับรู้ฯ
บริษัทเพิ่งได้รับงานขนาดใหญ่เข้ามาเพิ่มอีก 2 โครงการ โดยงานแรกเป็นงานสร้างคอนโดมิเนียม 30 ชั้นของเครือบมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์(QH) มูลค่างานประมาณ 1,140 ล้านบาท และมีงานสร้างคอนโดมิเนียมอีกแห่งย่านพระราม 3 มูลค่าใกล้เคียงกัน กำลังรอเซ็นสัญญา
ดังนั้น จะทำให้มูลค่างานในมือ(Backlog)ณ สิ้นเดือน พ.ย.53 เพิ่มขึ้นเป็น 3.8 พันล้านบาท เติบโต 137% จาก 1.6 พันล้านบาทในปี 52 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัททยอยรับรู้รายได้ปีละกว่า 1 พันล้านบาทต่อเนื่องไปถึง 3 ปี และบริษัทยังมีงานที่กำลังจะเข้าประมูลเพิ่มเติมในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปี 54 เป็นงานสำนักงานใหญ่ของแอมเวย์และโรงงานของซีเกท มูลค่างานละประมาณ 1 พันล้านบาท
นอกเหนือการรับงานของบิลท์แลนด์แล้ว บริษัทยังคงเน้นรับงานภาคเอกชนเป็นหลัก โดยเฉพาะอาคารที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน แนวดิ่ง โรงงานอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีความสามารถรับงานได้เต็มที่ประมาณ 3 พันล้านบาทในแต่ละปี
สำหรับราคาหุ้น PREB ที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวมากนัก นายชัยรัตน์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่ผู้ถือหุ้นมักจะถือลงทุนยาว ไม่ค่อยมีคนขายออก
"เราไม่ต้องการเป็นหุ้นปั่น แต่เราจะทำให้ราคาสะท้อน performance"นายชัยรัตน์ กล่าว