ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 64.10 จุด ขณะนักลงทุนจับตาผลประชุมเฟด-เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 3, 2010 06:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 พ.ย.) ขณะที่นักลงทุนจับตาดูผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสภาคองเกรสสหรัฐ โดยมีกระแสคาดการณ์ว่าพรรครีพับลิกันจะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างใกล้ชิด และมีการคาดการณ์ในวงกว้างว่าคณะกรรมการเฟดจะประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รอบสองในการประชุมครั้งนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 64.10 จุด หรือ 0.58% แตะที่ 11,188.72 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 9.19 จุด หรือ 0.78 % สู่ 1,193.57 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 28.68 จุด หรือ 1.14 % สู่ 2,533.52 ปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ราว 6.92 พันล้านหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์ค, ตลาดหุ้น อเมริกัน (American Stock Exchange) และตลาดหุ้น Nasdaq ซึ่งต่ำกว่าปริมาณ เฉลี่ยต่อวันของปีนี้ที่ 8.73 พันล้านหุ้น

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักลงทุนจับตาดูผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสภาคองเกรสสหรัฐซึ่งจะทราบผลในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาประเทศไทย โดยจะมีการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 435 คน ขณะที่โพลล์หลายสำนักระบุว่า พรรครีพับลิกันจะสามารถ ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐแทนพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นผลจากอัตราการว่างงานที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 2 ปีที่บารัค โอบามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แม้โอบามาได้ให้สัญญาไว้ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งครั้งก่อนว่าจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่เศรษฐกิจสหรัฐก็ตาม

นักวิเคราะห์กล่าวว่า หากพรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งกลางเทอมก็จะส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างรุนแรงต่อประธานาธิบดีโอบามา และจะทำให้ประธานาธิบดีโอบามาประสบความยากลำบากในการผ่านร่างกฎหมายต่างๆที่คณะทำงานของโอบามาพยายามผลักดันให้ผ่านการอนุมัตทั้งในปีนี้และปีหน้า

นอกเหนือจากการเลือกตั้งกลางเทอมแล้ว นักลงทุนยังจับตาดูผลการประชุมเฟดในคืนวันพุธที่ 3 พ.ย.ตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะประกาศใช้มาตรการ QE ด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรในวงเงินที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนคาดว่า มาตรการดังกล่าวยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะช่วยคลี่คลายวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐได้ เนื่องจากจำนวนชาวอเมริกันที่ว่างงานมีอยู่เกือบ 15 ล้านคนในขณะนี้

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เดวิด กรีนลอว์ นักวิเคราะห์จากแบงค์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริลลินช์ กล่าวว่า มาตรการ QE รอบสองของเฟดอาจจะช่วยเศรษฐกิจเรสหรัฐให้ฟื้นตัวได้ราว 0.3% ในปี 2554 และ 0.4% ในปี 2555 นอกจากนี้ มาตรการ QE อาจทำให้อัตราว่างงานปรับตัวลดลง 0.3% ในปี 2554 และลดลง 0.5% ในปี 2555 เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดได้ส่งสัญญาณเมื่อไม่นานมานี้ว่า อัตราว่างงานที่เคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน และตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ อาจทำให้เฟดจำเป็นต้องใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งการแสดงความคิดเห็นครั้งล่าสุดของเบอร์นันเก้ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าเฟดจะประกาศใช้มาตรการ QE ในการประชุมครั้งนี้อย่างแน่นอน

กระแสคาดการณ์เรื่องเฟดจะใช้มาตรการ QE ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์ (dollar index) ร่วงลง 0.7% เมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินที่เป็นคู่ค้าหลักของสหรัฐ และช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้น รวมถึงหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแกน คอปเปอร์ แอนด์ โกลด์, หุ้นเอ็กซอนโมบิล และหุ้นอัลโค อิงค์ ที่ทะยานขึ้นกว่า 1%

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ ADP Employer Services จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนทั่วประเทศสหรัฐประจำเดือนต.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนก.ย. สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคบริการและดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจเดือนต.ค. และสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์

วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และเฟดจะเปิดเผยข้อมูลประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนแรงงานต่อหน่วยเบื้องต้นประจำไตรมาส 3 ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค. และสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติจะเปิดเผยยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ