นายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ดุสิตธานี (DTC) เปิดเผยว่า ในปี 53 บริษัทจะมีรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 10% ที่ประมาณการไว้กว่า 3 พันล้านบาท เนื่องจากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในช่วงเม.ย.-พ.ค. และต้องปิดทำการ 2 เดือน ทำให้สูญเสียรายได้ราว 200-300 ล้านบาท และทั้งเครือได้รับผลกระทบสูญเสียรายได้รวม ประมาณ 400 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4/53 หลังเปิดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (DTCTF) จะทำให้รายได้และกำไรของบริษัทออกมาดีมาก เนื่องจากมีกำไรพิเศษจากการขายกิจการ และสิทธิการเช่าเช้ากองทุน DTCTF
สำหรับปี 54 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตมากกว่า 15% หากไม่มีปัญหาการเมืองรุนแรงเหมือนปีนี้ เนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวและบริษัทจะรับรู้รายได้เต็มปี จากโรงแรมลากูน่า ภูเก็ต หลังซื้อกิจการและงบปรับปรุงซ่อมแซมเสร็จในต.ค.ปี 53 รวมทั้งบริษัทได้บริหารกิจการโรงแรมทั้งในและต่างประเทศเพิ่มอีก 16 แห่ง
ทั้งนี้ DTC มีโรงแรมที่เป็นเจ้าของ 10 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 9 แห่ง และต่างประเทศ 1 แห่งที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และมีโรงแรมที่รับจ้างบริหาร 13-14 แห่ง
นายชนินทธ์ กล่าวว่า จากการที่เงินบาทแข็งค่าและเพื่อกระจายความเสี่ยง บริษัทจึงมีแผนลงทุนในกิจการโรงแรมต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบยุโรป ที่ประสบปัญหาเภาวะศรษฐกิจ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาอยู่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 54
ส่วนโรงแรมในประเทศมีการแข่งขันสูง และมีการเปิดโรงแรมใหม่เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลให้โรงแรมขนาดเล็กประสบปัญหา ถ้ามีโอกาสที่ดีและอยู่ในพื้นที่ที่น่าสนใจ บริษัทอาจจะเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมในปีหน้า
สำหรับปัญหาน้ำท่วม โรงแรมดุสิตปริ๊นเซส โคราช ซึ่งเป็นโรงแรมในกลุ่ม ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม แต่เชื่อว่าจะซ่อมแซมและแก้ไขปัญหาได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายไม่มาก
นายชนินทธ์ เห็นว่า ภาวะน้ำท่วมในขณะนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว เนื่องจากพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่วงจำกัด และ เชื่อว่าภาครัฐจะแก้ปัญหาได้โดยเร็ว ภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า และช่วงนี้ยังไม่ได้อยู่ในช่วงไฮซีซั่นซึ่งจะเริ่มกลางเดือนพ.ย. ซึ่งคาดว่าถึงเวลานั้นปัญหาน่าจะคลี่คลายแล้ว ประกอบกับปีนี้ อากาศหนาวเย็นกว่าทุกปี น่าจะมีส่วนสบันสนุนให้การท่องเที่ยวคึกคักขึ้น