ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ TTW ที่ระดับ “AA-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 3, 2010 13:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ.น้ำประปาไทย (TTW) ที่ระดับ “AA-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นผู้ให้บริการน้ำประปาเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตลอดจนกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาขายน้ำขั้นต่ำระยะยาว และความสม่ำเสมอของความต้องการน้ำประปา โดยที่ธุรกิจน้ำประปามีความเสี่ยงในการดำเนินงานในระดับต่ำ ในขณะที่มีอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการมีภาระหนี้และความเสี่ยงจากการมีการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เป็นลูกค้าหลักเพียงรายเดียว

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะผู้นำในการเป็นผู้ให้บริการน้ำประปาเอกชนและคงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเอาไว้ได้ โดยที่การลงทุนในอนาคตควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบซึ่งจะต้องไม่มีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินและสภาพคล่องของบริษัท ทั้งนี้ การให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทแม่ที่มีฐานะทางการเงินที่อ่อนแอกว่าจะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัท

TTW เป็นผู้ให้บริการน้ำประปาเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยกำลังการผลิตทั้งสิ้น 876,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน บริษัทยังให้บริการบำบัดน้ำเสียซึ่งมีกำลังการบำบัด 18,000 ลบ.ม./วัน บริษัทก่อตั้งในปี 2543 ภายใต้การร่วมทุนระหว่าง บมจ.ช. การช่าง (CK) และ บริษัท เธมส์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด

หลังจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 แล้ว CK ก็มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วน 30.8% ในขณะที่ บริษัท มิตซุย วอเตอร์ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ถือ 25.9%

บริษัทประกอบกิจการโรงผลิตน้ำประปา 3 โรง และเป็นผู้ให้บริการน้ำประปาใน 3 พื้นที่คือเขตพื้นที่จังหวัดนครปฐม-สมุทรสาคร เขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินซึ่งบริษัทเป็นผู้ดำเนินการโดยตรง และในเขตพื้นที่จังหวัดปทุมธานีซึ่งดำเนินการโดยบริษัทลูกที่บริษัทถือหุ้น 98% คือ บริษัท ประปาปทุมธานี จำกัด บริษัทให้บริการน้ำประปาแก่ กปภ. ภายใต้สัญญาซื้อขายน้ำประปาอายุ 25 ปีซึ่งจะหมดสัญญาในปี 2566 และอายุ 30 ปีซึ่งจะหมดสัญญาในปี 2577 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 กปภ. มีพันธะในการรับซื้อน้ำประปาจากบริษัทในปริมาณขั้นต่ำจำนวน 620,000 ลบ.ม./วัน ทั้งนี้ สูตรการคำนวณอัตราค่าน้ำจะเป็นไปตามดัชนีราคาผู้บริโภค

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับสิทธิในการดำเนินการผลิต จำหน่าย และให้บริการน้ำประปา รวมทั้งให้บริการบำบัดน้ำเสียในเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินระยะเวลา 30 ปีด้วย โดยสิทธิดังกล่าวจะหมดอายุในปี 2582 ภายใต้เงื่อนไขของสิทธิในการดำเนินงานนั้นบริษัทจะเป็นผู้ให้บริการแก่ผู้ประกอบการในเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินโดยตรงซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีความเสี่ยงจากการมี กปภ. เป็นลูกค้ารายใหญ่เพียงรายเดียวซึ่งสร้างสัดส่วนรายได้ให้แก่บริษัทคิดเป็น 95% ของรายได้รวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 กระนั้นสถานะความน่าเชื่อถือของ กปภ. ในฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจก็อยู่ในระดับที่รับได้

TTW ได้ประโยชน์จากการมีความเสี่ยงจากการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหน่วยงานสาธารณูปโภคอื่น ๆ เนื่องจากเทคโนโลยีในการผลิตน้ำประปาไม่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจผลิตน้ำประปาต้องใช้เงินลงทุนสูงในการสร้างโครงข่ายระบบส่งและจ่ายน้ำประปา อีกทั้งบริษัทยังเป็นเจ้าของท่อน้ำประธานและท่อจ่ายน้ำในพื้นที่ให้บริการบางส่วนซึ่งเป็นอุปสรรคต่อผู้ต้องการเข้ามาเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ในพื้นที่ดังกล่าว แหล่งน้ำที่มีเพียงพอและคุณภาพน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตน้ำประปา

ทั้งนี้ แหล่งน้ำที่สำคัญในการผลิตน้ำประปาของบริษัทมาจากแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบที่มีปริมาณน้ำเพียงพอ แม้แหล่งน้ำแต่ละแห่งจะมีคุณภาพน้ำที่แตกต่างกัน แต่บริษัทก็สามารถนำน้ำไปผลิตเป็นน้ำประปาคุณภาพสูงได้เช่นเดียวกัน

ในปี 2552 ยอดขายน้ำประปาในกลุ่มลูกค้าภาคครัวเรือนมีสัดส่วนสูงสุดที่ระดับ 39.8% ของยอดขายน้ำทั้งหมดของบริษัท ในขณะที่กลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมมีสัดส่วน 38.4% และกลุ่มลูกค้าพาณิชยกรรมมีสัดส่วน 21.8% ยอดขายน้ำประปาของบริษัทเพิ่มขึ้นเพียง 2.6% ของยอดขายรวมในปี 2552 เมื่อเทียบกับ 7.4% ในปี 2551 การเติบโตที่ชะลอตัวมีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงวงจรขาลงซึ่งกระทบต่อการใช้น้ำของกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่จังหวัดนครปฐม-สมุทรสาคร โดยปริมาณการใช้น้ำในเขตพื้นที่ดังกล่าวในปี 2552 ลดลง 2% อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ยอดขายน้ำของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 12.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเนื่องภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวและบริษัทเริ่มจำหน่ายน้ำในเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน

บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเนื่องจากการมีโครงสร้างสัญญาซื้อขายน้ำที่ดีกับ กปภ. อีกทั้งยังมีความต้องการน้ำที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 3,605 ล้านบาทในปี 2551 เป็น 4,048 ล้านบาทในปี 2552 เนื่องจากดัชนีราคาผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งใช้เป็นปัจจัยในการคำนวณราคาขาย สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2553 บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10.4% เป็น 2,164 ล้านบาทจากการมีอุปสงค์ที่มากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยรายได้จากเขตพื้นที่จังหวัดนครปฐม-สมุทรสาครมีสัดส่วน 64% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนรายได้ที่เหลือส่วนใหญ่มาจากเขตพื้นที่จังหวัดปทุมธานี (33%) ในขณะที่พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอินมีสัดส่วนเพียง 3% ของรายได้ทั้งหมด

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา TTW มีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 79%-80% กระแสเงินสดของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 1,434 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 2,099 ล้านบาทในปี 2551 และ 2,583 ล้านบาทในปี 2552 เงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจากระดับ 9,310 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2551 เป็น 11,570 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2552 เนื่องจากบริษัทกู้เงินจากธนาคารจำนวน 1,500 ล้านบาทเพื่อใช้ในการซื้อสิทธิในการดำเนินงานและให้บริการในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน

อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 23% ในระหว่างปี 2551-2552 โดยที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจากระดับ 52.8% ณ สิ้นปี 2551 เป็น 57.1% ณ สิ้นปี 2552 สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2553 เงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 16% เป็น 1,511 ล้านบาท ในขณะที่มีเงินกู้รวมจำนวน 11,363 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 13.3% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับ 55.6%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ