โบรกฯเชียร์"ซื้อ"TUF มองข้ามไปปี 54 กำไรโตโดดเด่น แม้ Q3/53 ต่ำกว่าคาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 3, 2010 15:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ ต่างแนะนำ"ซื้อ" หุ้นบมจ.ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) แม้ว่ากำไรในไตรมาส 3/53 จะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เหตุรับผลกระทบค่าเงินบาทแข็งค่า ราคาวัตถุดิบปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาขายลดลง แต่เชื่อเป็นผลกระทบระยะสั้น

ประเมินว่าจากการควบรวมกิจการ MW Brands ที่จะเริ่มรับรู้กำไรในไตรมาส 4/53 ในเดือนพ.ย.ซึ่งจะทำให้กำไรดีปรับตัวดีขึ้นทันที และการรับรู้กำไรเต็มปีในปีหน้าจะสร้างผลกำไรในปี 54 ให้เติบโตสูงขึ้นประมาณ 29-35% เป็น 4.1-4.5 พันล้านบาท จากปี 53 ที่ได้ปรับประมาณกำไรลงมาเล็กน้อยมาเป็น 3.1-3.6 พันล้านบาท

ฉะนั้น ได้ปรับราคาเหมาะสมในปี 54 ตามคาดการณ์กำไรที่เพิ่มขึ้น

          โบรกเกอร์       คำแนะนำ       ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.เคจีไอ        ซื้อ            80.00
          บล.ซิกโก้         ซื้อ            80.00
          บล.บัวหลวง       ซื้อ            75.40
          บล.ฟาร์อีสท์       ซื้อ            71.00
          บล.กิมเอ็ง        ซื้อ            67.00
          บล.ธนชาต        ซื้อ            65.00
          บล.กรุงศรีอยุธยา  เก็งกำไร        60.00

น.ส.สุธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลกำไรของ TUF ในไตรมาส 3/53 ออกมาต่ำกว่าที่คาด แต่ไม่มากนัก และราคาหุ้นได้สะท้อนไปแล้ว รวมทั้งมองว่าผลกำไรของไตรมาส 3/53 เป็นข่าวลบระยะสั้น เนื่องจากเงินบาทแข็งค่ามากสุดในช่วงนี้ ประกอบกับ ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และราคาขายทูน่าลดลง ทำให้ออร์เดอร์ถูก delay ไปไตรมาส 4/53

TUF รายงานกำไรในไตรมาส 3/53 เท่ากับ 817 ล้านบาท ลดลง 19.7% YoY จาก 1.0 พันล้านบาทในไตรมาส 3/52 และ 6.4% QoQ จาก 873 ล้านบาทใน ไตรมาส 2/53

แต่คาดว่าไตรมาส 4/53 กำไรจะปรับดีขึ้น หลังจากที่รวมงบการเงินของ MW Brands ที่ได้เข้าซื้อกิจการเสร็จสมบูรณ์เมื่อ 29 ต.ค.ทำให้เมื่อรวม MW Brands เข้ามาในช่วง 2 เดือนของปีนี้(พ.ย.-ธ.ค.)กำไรประมาณ 200 ล้านบาท ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 4/53 เพิ่มเป็น 3.6 พันล้านบาท ส่งผลให้กำไรปีนี้สูงกว่าประมาณเดิม 6% เป็น 3,619 ล้านบาท(3.78 บาท/หุ้น

และในปี 54 เมื่อรวมงบการเงิน MW Brands จะทำให้ กำไรเติบโตประมาณ 30% น่าจะทำให้กำไรในปีหน้าสูงกว่าประมาณการเดิม 35% เป็น 4,792 ล้านบาท (Fully Diluted 4.79 บาท/หุ้น)

"เรายังมีความเห็นเชิงบวกต่อ TUF ซึ่งคาดว่าจะเติบโตแข็งแกร่งในปีหน้าจากการรวม MWB เข้ามาเป็นเวลาเต็มปี"น.ส.สุทธาทิพย์ กล่าว

นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เหตุผลที่แนะนำให้ "เก็งกำไร"TUF เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบ 3 ปัจจัยได้แก่ เงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งเราเคยคาดค่าเงินบาทปีนี้เฉลี่ย 31.70 บาท/ดอลลาร์ แต่ขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วกว่าที่คาด และปีหน้าประเมินว่าเงินบาทอยู่ที่ 30.40 บาท/ดอลลาร์

รวมทั้ง ราคาวัตถุดิบสูงขึ้นทั้งราคากุ้งและปลาทูน่า และคาดว่าจะส่งผลไปถึงปีหน้า เพราะสภาวะอากาศแปรแรวนมากอาจทำให้การจับปลาทูน่าน้อยลง และราคาขายทูน่าไม่สามารถปรับขึ้นทันกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยราคาขายเฉลี่ย 9 เดือนแรกลดลง 3% และคาดว่าบริษัทจะไม่สามารถปรับราคาขึ้นมาชดเชยวัตถุดิบที่สูงขึ้นได้ทันในปีนี้

ดังนั้น ในปี 53 จึงได้ปรับลดประมาณการกำไรลง 7% จากปีก่อน โดยไม่นับรวม BW Brands เป็น 3,120 ล้านบาท แต่ปี 54 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 32% เป็น 4,120 ล้านบาท จากที่รวมกิจการ MW Brands เข้ามาเต็มปี

"เหตุผลที่เก็งกำไร คิดว่าจากนี้ถึงไตรมาสแรกปีหน้า กำไรจะโต 30% จากการรวมกิจการ MWB แต่เราเห็นว่า P/E แพงไปเมื่อเทียบกับความเสี่ยงต้นทุนวัตถุดิบ เงินบาทแข็งค่า และไม่รู้ว่าหลังรวมกิจการ MWB จะเจออะไรข้างหน้า"นายสิทธิเดช กล่าว

ทั้งนี้ ได้ประเมินราคาพื้นฐานที่ 60 บาท โดยใช้ P/E 14 เท่า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่เคยปรับขึ้นมาในอดีต

บล.เคจีไอ คาดแนวโน้มไตรมาส 4/53 สดใสและคาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการสูงสุดของปี จากค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพดีขึ้น และต้นทุนปลาทูน่าที่ลดลง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจะสามารถรวมผลประกอบการของ MW Brands ได้อีก 2 เดือนในระหว่างไตรมาส จึงแนะนำ"ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายในรอบ 12 เดือนที่ 80.00 บาทจากการคำนวนลดกระแสเงินสด โดยมีค่า WACC ที่ 12.4% และอัตราการเติบโตในระยะยาวที่ 2.0%

บล.บัวหลวง ระบุว่า แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 3/53 แย่ลง แต่คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 4/53 มีแนวโน้มฟื้นตัวเนื่องจากปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่จะกลับมา รวมถึงมาร์จิ้นที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ปัจจัยหนุนมาจากราคาปลาทูน่าที่คาดว่าจะทรงตัวมาก ดังนั้นกำไรในไตรมาส 3/53 ที่แย่ลงจึงถือว่าเป็นผลกระทบเชิงลบในระยะสั้น แต่ก็ได้ปรับลดประมาณการผลกำไรสุทธิปี 53 ลงอีก 5% จาก 3.68 พันล้านบาทเป็น 3.51 พันล้านบาท

"เราคิดว่านักลงทุนได้มองข้ามผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไปแล้ว และมุ่งให้ความสนใจต่อแนวโน้มกำไรสุทธิในปี 54 ของ TUF แทน ซึ่งเราประเมินว่ากำไรสุทธิในปี 54 มีแนวโน้มเติบโตสูงถึง 29% หลังจากการรวมงบของ MWB เข้ามาแล้ว เราแนะนำนักลงทุนซื้อหุ้น TUF ถ้าหากราคาหุ้นปรับตัวลดลง เนื่องจากความคาดหวังของการเติบโตของกำไรสุทธิในปีหน้าที่แข็งแกร่ง" บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ