นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยออยล์(TOP)คาดว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3/53 จะมีกำไรเติบโตขึ้นมากจากไตรมาส 2/53 หรือเติบโตหลาย 10% เนื่องจากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นมาที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บริษัทมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน(stock gain)สูงมาก
ประกอบกับ ค่าการกลั่นยังอยู่ในระดับสูงกว่าที่เคยประมาณการไว้ และในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4-5 เหรียญ/บาร์เรล จึงเชื่อว่าจุดต่ำสุดของธุรกิจโรงกลั่นได้ผ่านพ้นไปแล้ว
"ไตรมาส 3 กำไรจะดีกว่าไตรมาส 2 หลาย 10% เพราะมี stock gain และค่าการกลั่นอยู่ในระดับที่ดี ไตรมาส 4 ก็จะใกล้เคียงไตรมาส 3 เพราะราคาน้ำมันเป็นไปตามคาดการณ์ที่ 80 เหรียญฯ แต่ถือว่ามาช้าไปหน่อย เราหวังจะเห็นราคาน้ำมันระดับนี้ตั้งแต่ไตรมาส 2"นายสุรงค์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการทั้งปี 53 คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานจะทำได้ตามเป้าหมายที่ระดับ 7,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 4/53 กำไรจากการดำเนินงานน่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 3/53
นายสุรงค์ กล่าวว่า ในปี 54 คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานจะเติบโตขึ้นราว 10% จากปีนี้ โดยคาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยในปีนี้จะปรับเพิ่มขึ้นมาที่ 6-7 เหรียญ/บาร์เรล เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 แสนบาร์เรล/วัน ขณะที่กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นประมาณ 1 แสนบาร์เรล/วัน จึงมองว่าธุรกิจโรงกลั่นน่าจะฟื้นตัว
และยิ่งหากภาครัฐมีการปรับราคาขายก๊าซ LPG ในประเทศให้เป็นไปตามราคาตลาดโลก ก็จะทำให้ค่าการกลั่นเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 1 เหรียญ/บาร์เรล หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกราว 4 พันล้านบาท/ปี
ส่วนราคาปิโตรเคมี บริษัทผลิตพาราไซลีนเป็นหลัก คาดว่าราคาจะยืนอยู่ในระดับ 1,300 เหรียญ/ตันใกล้เคียงปีนี้ แต่คงต้องจับตากำลังการผลิตใหม่จากจีนที่มีขนาดใหญ่มาก ประกอบกับ ปีหน้าบริษัทคาดว่าจะเดินเครื่องกำลังการผลิตถึง 100% จากปีนี้อยู่ในระดับ 90-95% เนื่องจากปีหน้าจะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่และคงไม่มีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เหมือนกับที่ปีนี้มีการปิดเดินเครื่องจากปัญหาขัดข้อง
นายสุรงค์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนปรับปรุงคุณภาพเพื่อขยายกำลังผลิตพาราไซลีน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 55 ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทเนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์พาราไซลีนสูงและมีความต้องการมากในตลาดโลก