นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า สมาคมฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยปี 53 เป็นเฉลี่ย 1,038 จุด จากคาดการณ์เดือน ก.ค.อยู่ที่ 849 จุด และคาดดัชนีในปี 54 จะปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอยู่ที่ 1,133 จุด โดยประเมินดัชนีสูงสุดในปีหน้าที่ 1,201 จุด และต่ำสุด 907 จุด
ปัจจัยบวกมาจากแนวโน้มการฟื้นตัวที่เพิ่มขึ้นมากของเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจเอเชีย รวมถึงเศรษฐกิจโลก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางรัฐบาล ประกอบกับ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตขึ้น และกระแสเงินทุนไหลเข้า รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและเอกชน
สมาคมฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจปี 53 เป็น 7.3% จากเดิมคาดไว้ที่ 5.2% ,อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่ 20.9% จากเดิมที่ 15.4%, ค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 29.9 บาท/ดอลลาร์, อัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ณ สิ้นปี 53 เฉลี่ย 1.9% สูงกว่าผลสำรวจครั้งก่อนซึ่งประเมินไว้ที่ 1.8% และ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 53 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.4% ใกล้เคียงกับประมาณการเดิมที่ 3.3%
ส่วนปี 54 นักวิเคราะห์ประเมินว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเฉลี่ยที่ 4.3% เท่ากับประมาณการเดิม , อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่ 15%, ค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 29.2 บาท/ดอลลาร์, อัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ณ สิ้นปี 54 เฉลี่ยอยู่ที่ 2.6% และ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 54 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.4%
นักวิเคราะห์ฯ เสนอแนะภาครัฐจับตาปัญหาสำคัญ ได้แก่ ปัญหาการแข็งค่าของเงินบาท ปัญหาทางการเมือง และปัญหาน้ำท่วมพร้อมเร่งดำเนินการสี่ด้าน คือ มาตรการเศรษฐกิจโดยกระตุ้นโครงการระยะยาวทั้งภาครัฐและเอกชน สร้างเสถียรภาพทางการเมือง ส่งเสริมการลงทุนลงทุนในธุรกิจหรือว่าในหุ้นครับในตลาดหุ้น และเร่งการใช้จ่ายภาครัฐ นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในความมั่นคงทางการเมืองในระดับปานกลาง
สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอัตราเงินปันผลสูง และมีแนวโน้มการเติบโตสม่ำเสมอ โดยทยอยซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และติดตามข่าวสารข้อมูลทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีผลกระทบต่อราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีการกระจายการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ส่วนการลงทุนระยะสั้น ควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน เนื่องจากตลาดในระยะนี้เป็นตลาดขาขึ้น (Bull Market) แนะนำ ให้เลือกหุ้นรายตัว ดูจังหวะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น
หุ้นแนะนำ หุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ BANPU, KBANK, KTB, PTTEP, SCC, STEC เป็นต้น ด้านหุ้นที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าราคาเต็มมูลค่า หรือเกินมูลค่าแล้ว ได้แก่ TMB, TRUE เป็นต้น