โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังหนุน"ซื้อ"หุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY)หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/53 ยังทำกำไรได้ 2,300 ล้านบาท จากรายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น แม้การปล่อยสินเชื่อจะหดตัว
แต่แนวโน้มไตรมาส 4/53 การทำกำไรของธนาคารน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง รวมถึงการปล่อยสินเชื่อน่าจะขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อย และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
ทั้งนี้ ภาพรวมของธนาคารในปี 53 น่ายังเติบโตได้ดี หลังการควบรวมกิจการกับกลุ่มจีอีมันนี่ ทำให้ธนาคารมีความโดดเด่นในด้าน retail ส่งผลดีให้ NIM ปรับตัวสูงขึ้นด้วย
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ฟิลลิป ซื้อเก็งกำไร 26.20 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 32.70 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 27.50 บล.ฟาร์อีสต์ ซื้อ 30.00 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 26.00 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 26.80 บล.ธนชาติ ซื้อ 30.00
บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ทั้งปี 53 ธนาคารยังมีแนวโน้มเติบโตสูงซึ่งเป็นผลดีจากการควบรวมกิจการจากนโยบายการเติบโตจากภายนอกในปี 52 และผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่การเติบโตของสินเชื่อที่ต่ำกว่าสมมติฐานเดิมที่ 6% จึงปรับลดเหลือ 5% ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 53 ของ BAY ลดลง 5% เหลือ 9,000 ล้านบาท ซึ่งยังเติบโตสูงถึง 35% จากปี 52 และคาดจะเติบโตต่อเนื่อง 17% เป็น 10,500 ล้านบาทในปี 54
ขณะที่ นางสาวศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมการทำกำไรของ BAY ไตรมาส 3/53 ที่ระดับ 2,330 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีรายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่สูงกว่าคาด
แต่สินเชื่อในไตรมาส 3/53 ลดลง 1.2% ขณะที่สินเชื่อที่เป็นเงินลงทุนปรับขึ้น 14.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อธุรกิจรายย่อยเป็นหลัก ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อ NIM ขยับเพิ่มขึ้น 18 bps มาอยู่ที่ 5.05% ตามอัตราดอกเบี้ยตลาด
ส่วนกำไรงวด 9 เดือนขยายตัว 28.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 6,530 ล้านบาท โดยรายได้ดอกเบี้ยและปันผลสุทธิขยายตัวสูงถึง 40.5% เป็นผลจากการเข้าซื้อธุรกิจในกลุ่มจีอี มันนี่ กรุ๊ป ขณะที่ NIM ปรับขึ้นมาที่ 5.16% จาก 3.87% จากการเพิ่มฐานธุรกิจ Retail ที่มี Margin สูงและต้นทุนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ปรับลง ด้านสำรองยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
รายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยเติบโตได้ดีถึง 39.2% จากค่าธรรมเนียม กำไรการขาย NPA และรายได้เงิน ลงทุนในลูกหนี้ และค่าใช้จ่ายปรับสูงขึ้นตามธุรกรรมที่เพิ่มและการเข้าซื้อกิจการ ส่วน Gross NPL ณ สิ้นก.ย.53 ลดลงมาที่ 6.8% เทียบ 7.1% เมื่อสิ้นมิ.ย.53 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขาย NPL ออกไปในเดือนก.ค.
“ภาพรวมไตรมาส 3/53 ของธนาคารถือว่าโอเค และแนวโน้มไตรมาส 4 น่าจะดีขึ้น ซึ่งจะทำให้เราปรับขึ้นคำแนะนำลงทุนในทางดีขึ้น โดยจะเป็นการปรับขึ้นในแง่ของความต้องการสินเชื่อของผู้บริโภคในช่วงไตรมาส 4/53 ที่น่าจะโอเค รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อ ที่รถยนต์ขยายตัวค่อนข้างดี และ NIM ก็น่าจะดี trade margin ก็น่าจะไปได้ “นางสาวศศิกร กล่าว
นางสาวกัญญา อุดมวรนันท์ นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุ BAY กำไรสุทธิไตรมาส 3/53 จำนวน 2,331 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่คาดไว้ที่ 2,306 ล้านบาท มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นสูง
ส่วนสินเชื่อไตรมาส 3/53 ลดลง 1.2% จากไตรมาสก่อน จากการขาย NPLs ส่งผลให้สินเชื่อ 9 เดือนแรกขยายตัวเพียง 1.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตสูงในไตรมาส 4/53 ซึ่งเป็นช่วง High season ของสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อบัตรเครดิต
NIM ไตรมาส 3/53 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 4.8% เป็น 5.0% ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทางด้านคุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดย NPLs มียอดลดลงจากการขาย NPLs ประมาณ 5.3 พันล้านบาท ในเดือน ก.ค. 53 ส่งผลให้ NPL Ratio ลดลงจาก 7.1% เป็น 6.8%
ทั้งนี้ มองว่า BAY มีโอกาสเติบโตสูงในธุรกิจ Retail banking และการเติบโตแบบ Inorganic Growth ของธนาคารที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเข้าซื้อกิจการในกลุ่ม GE Money เป็นผลดีต่อ BAY ในด้านการขยายฐานสินเชื่อรายย่อย NIM ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ขยายตัวสูง