บมจ.เออาร์ไอพี คาดว่าจะเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้กับประชาชนทั่วไป(IPO)ได้ภายในสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน พ.ย. หลังจากกำหนดราคาเสนอขายได้ราวสัปดาห์ที่ 3 และจากนั้นคาดว่าจะนำหุ้นเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ได้ภายในเดือน ธ.ค.นี้
ทั้งนี้ เออาร์ไอพี ดำเนินธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ด้านธุรกิจ การบริหารจัดการและไอที, ธุรกิจจัดงานนิทรรศการ งานแสดงสินค้า และการจัดประชุมสัมมนา เช่นงาน COMMART Thailand รวมถึง ธุรกิจสื่อดิจิตอลและสื่ออื่น มีแผนเสนอขาย IPO จำนวน 138.4 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.25 บาท
บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้และปีหน้า โดยคาดว่าในปี 53 รายได้จะเติบโต 30% และในปี 54 จะเติบโตราว 20-25% ตามภาพรวมอุตสาหกรรมไอที
นายมินทร์ อิงค์ธเนศ ประธานคณะกรรมการผู้บริหาร ARIP เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจของบริษัท และเพื่อสร้างความหลากหลายและครบวงจรให้กับธุรกิจเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเป็นผู้ผลิตสื่ออย่างครบวงจร โดยเฉพาะธุรกิจด้านข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีความเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งธุรกิจมีการเติบโตต่อเนื่อง จะเห็นได้จากงานจัดแสดงสินค้าไอที หรือ คอมมาร์ต ที่ผู้เข้าชมงานให้การตอบรับเป็นอย่างดีและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี รวมไปถึงการพัฒนาสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ของบริษัทให้มีเนื้อหาที่สอดคล้องและเป็นที่ต้องการของลูกค้า ซึ่งทำให้บริษัทมีสื่อในการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร มีส่วนช่วยเสริมให้ธุรกิจการจัดงานแสดงสินค้า หรืองานสัมมนาต่างๆ ประสบความสำเร็จ
"บริษัทจึงมีแผนจะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งและตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนได้อย่างทันท่วงที"นายมินทร์ กล่าว
นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไป ARIP กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทในงวดครึ่งปี 53 มีรายได้ 143.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 84.87 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 25.46 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 14.67 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทมีการปรับปรุงรูปแบบและเนื้อหาของสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อเพิ่มความเข้มข้นและตอบสนองความต้องการของผู้อ่านมากขึ้น รวมทั้งผลมาจากการจัดงาน Commart X’Gen Thailand ซึ่งเปลี่ยนกลับมาจัดในไตรมาสที่ 2 แทนการจัดในไตรมาส 3/52
สัดส่วนรายได้ของบริษัท มีรายได้หลักมาจากการจัดงานนิทรรศการ การจัดงานแสดงสินค้า และการประชุมสัมมนาต่างๆ คิดเป็นประมาณ 70% ของรายได้ทั้งหมด รองลงมาเป็นธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ประมาณ 28% ที่เหลือเป็นรายได้จากสื่อดิจิตอลและอื่นๆ อย่างไรก็ตามบริษัทยังจะคงสัดส่วนรายได้หลักมาจากการจัดนิทรรศการและงานแสดงสินค้า เนื่องจากงานคอมมาร์ตของบริษัทได้รับความสนใจและประสบความสำเร็จด้วยดีมาโดยตลอด และที่สำคัญมีผู้ให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
สำหรับรายได้ของบริษัทในปี 2553 คาดว่า จะเติบโต 30% จากปีที่แล้วที่บริษัทมีรายได้ 226 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของอุตสาหกรรมไอทีที่ปีนี้กลับมาเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในรอบ 3 ปี
“ปีนี้อุตสาหกรรมไอทีกลับมาโต 2 digits ในรอบ 3 ปี ปีที่แล้วโต 4% ปีนี้คงเกิน 10% แน่ๆ ก็จะส่งผลดีต่อเราโดยตรง ยิ่งเฉพาะในการจัดงานคอมมาร์ทแต่ครั้งจะมียอดขายประมาณ 3 พันล้านบาท และยอดขายของงานคอมมาร์ททั้งนี้คิดเป็น 12-13% ของมูลค่ารวมตลาดไอทีทั้งหมด ซึ่งเราในฐานะผู้จัดการก็จะได้รับประโยชน์จากตรงนี้"นายปฐม กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์จากการที่ธุรกิจสื่อกลับมาเติบโตอีกครั้ง จากการที่รายได้จากการโฆษณากลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจที่ถดถ้อยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา