นายวิบูลย์ โลหะชุนสิริ ผู้จัดการอาวุโสแผนกพัฒนาธุรกิจ บมจ.น้ำมันพืชไทย(TVO)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 3/53 คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงไตรมาส 2/53 เนื่องจากปริมาณการการใช้ถั่วเหลืองอยู่ระดับใกล้เคียงกัน ซึ่งไตรมาส 3/53 ตลาดกากถั่วเหลืองมีซัพพลายค่อนข้างมาก ทำให้การปรับราคาทำได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 4/53 คาดว่ายอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากดีมานด์อาหารสัตว์เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับเทศกาลตรุษจีน ประกอบกับ เป็นช่วงฤดูหนาวที่จะมีการบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น นอกจากนี้ ราคาวัตถุดิบและราคาสินค้าในตลาดโลกปรับสูงขึ้น อาจทำให้บริษัทต้องมีการปรับขึ้นราคาสินค้าตามราคาในตลาดโลกด้วย
"ถ้า supplyไม่ล้น อาจปรับราคาได้ตามตลาดโลก...ถ้าดูตลาดโลกตอนนี้ราคาถั่วเหลืองปรับขึ้นไปแล้ว 10-20%"นายวิบูลย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปี 53 บริษัทตั้งเป้ามีรายได้เติบโต 10-15% โดยยอดขายจะเติบโต 10% แต่ขึ้นอยู่กับราคาสินค้าที่จะปรับขึ้นในช่วงไตรมาส 4/53 ส่วนการทำกำไรทั้งปี 53 คงต้องขึ้นอยู่กับการนำเข้ากากถั่วเหลืองด้วย
"น้ำท่วมมีลูกค้าอุตสาหกรรมที่ใช้ถั่วเหลืองเราที่สงขลา แต่ตอนนี้ก็โอเคแล้ว เพราะที่หาดใหญ่น้ำแห้งแล้ว ท่วมแค่ 1-2 วัน ก็ไม่ได้กระทบมาก หยุดแค่ 2 วัน ปริมาณการใช้น้ำมันก็ไม่ได้ลดเท่าไร เพราะส่วนใหญ่พวกนี้ทำตามออร์เดอร์ ก็แค่ปรับเวลาทำงานแค่นั้น" นายวิบูลย์
ส่วนการบริโภคน้ำมัน คาดว่าจะมีการเติบโต 3-5% และราคาอาจจะมีการปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% เนื่องจากแนวโน้มซัพพลายน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันพืชทุกชนิดจะตึงตัวในปีหน้า ทำให้ระดับราคาปรับสูงขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทในปี 54 คาดว่ายอดขายจะเติบโต 30% โดยประเมินจากจะปริมาณการใช้ถั่วเหลืองจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 ล้านตันเมล็ดถั่ว จากปี 53 มีปริมาณ 1.1 ล้านตันเมล็ดถั่ว ส่วนราคาวัตถุดิบและสินค้าจะปรับขึ้น 10%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการลงทุนในปี 54 เพื่อสร้างโรงงานเรซิตินเพื่อผสมในอาหารสัตว์ มูลค่า 60 ล้านบาท เป็นการต่อยอดไบโอโปรดักส์จะช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้บริษัทบ้างเล็กน้อย เนื่องจากมีการผลิตสินค้าไม่มากนัก