บลจ.แอสเซท พลัส ขายIPO กองทุนสมาร์ท 8 อายุ 1 ปี เน้นลงทุน บจ.ขนาดใหญ่

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 8, 2010 16:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. แอสเซท พลัส เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดเสนอขาย IPO กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ท 8 (ASP-SMART 8) ระหว่างวันที่ 9-19 พ.ย.53 โดยภายหลังจากการระดมเงินลงทุน ผู้จัดการกองทุนจะรอจังหวะทยอยเข้าลงทุนเมื่อระดับ SET Index หรือราคาหุ้นเป้าหมายปรับลดลงมาในระดับที่น่าลงทุน โดยเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มการเติบโตในปี 54 ในระดับสูง

โดย กองทุน ASP-SMART8 เป็นกองทุนผสมที่มีอายุโครงการ 1 ปี สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างตราสารทุนและตราสารหนี้ในประเทศ ได้ 0—100% ทำให้กองทุนมีความยืดหยุ่นในด้านการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น เพื่อหาจังหวะเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดเหมาะสม และมีเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนสุทธิที่ระดับ 10% จากเงินลงทุนเริ่มแรก และปิดกองทุนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนผ่านระดับ 11.00 บาท หรือเมื่อครบอายุกองทุน 1 ปี แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดก่อน

กองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชีย ได้แก่ หุ้นในกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ และหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนจะมีการใช้ SET50 FUTURES ที่สะท้อนการปรับตัวของหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มผันผวนสูง

สำหรับผลการดำเนินงานกองทุนหุ้นกลุ่ม SMART ในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง รวมถึง สามารถปิดกองทุนไปแล้วจำนวน 2 กองทุน บริษัทฯ จึงยังเชื่อมั่นในแนวทางการบริหารกองทุนหุ้นกลุ่ม SMART ในการทำ active asset allocation และจับจังหวะตลาดในการเข้าลงทุนและคัดเลือกหลักทรัพย์ตามปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงการใช้ Derivatives ในการลดความผันผวน ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะหาลักษณะการลงทุนที่เหมาะสมกับจังหวะตลาดของแต่ละกองทุน

นางลดาวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา SET Index ได้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเก็งกำไรจากการคาดการณ์มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 2 (Quantitative Easing 2 — QE2) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจาก Fed ได้สรุปใช้มาตรการ QE2 ผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเพิ่มขึ้นอีก 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวตามความคาดหมายของตลาดแล้ว คาดว่าอาจจะมีการขายทำกำไรเมื่อตลาดทราบข่าวที่เกิดขึ้นจริง (Sell on fact) ในหุ้นบางกลุ่มบ้าง และส่งผลให้แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นกลับสู่ปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทฯ คาดว่า SET Index น่าจะปรับตัวลงที่ระดับไม่เกิน 5-10% เนื่องจากในช่วงปลายปี มักจะยังมีเม็ดเงินลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ประมาณ 2,000-5,000 ล้านบาท ที่จะเข้ามาช่วยหนุนตลาดอยู่

นอกจากนี้ จากการที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ประเมินการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเบื้องต้นว่าเศรษฐกิจไทยปี 2553 จะสามารถขยายตัวได้ 7% ต่อปี และปีหน้าขยายตัวได้ 4.5% ต่อปี จากภาคการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แนวโน้มของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนของไทยในปี 54 ยังมีโอกาสเติบโตสูงจากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจพลังงาน ธนาคาร ธุรกิจการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ซึ่งจะผลักดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ต่อไป ซึ่งมองว่าในช่วงนี้เป็นจังหวะดีช่วงหนึ่งในการลงทุนในหุ้นไทย

“แม้ว่าตลาดน่าจะมีการปรับฐานในช่วงปลายปี 53 เนื่องจาก SET Index ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ส่งผลให้มูลค่าหุ้นบางตัวเริ่มตึงตัวเมื่อเปรียบเทียบกับผลประกอบการในปี 2553 และการคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2554 ประกอบกับในช่วงปลายปีนี้ นักลงทุนต่างชาติอาจมีการขายหุ้นเพื่อทำกำไรบ้าง ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดมีการปรับตัวลดลงในช่วงสั้น แต่ไม่น่าจะปรับตัวลดลงลึกมากนัก โดยน่าจะอยู่ที่ระดับ 920-950 จุด ซึ่งถือเป็นโอกาสเหมาะในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนฯ ในปี 2554 ที่คาดว่าจะมีการขยายตัวในอัตราที่น่าพอใจในปี 54 จึงคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นถึงระดับ 1,150 จุด" นางลดาวรรณ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ