ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กวิตกปัญหาหนี้ยุโรป ฉุดดาวโจนส์ปิดลบ 60.09 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 10, 2010 06:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) หลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการแข็งค่าของดอลลาร์จะทำให้ผลกำไรในตลาดต่างประเทศของสหรัฐหดตัวลงด้วย นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าปัญหาหนี้สาธารณะอาจลุกลามในยุโรปอีกครั้ง หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลไอร์แลนด์เตรียมขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากสหภาพยุโรป

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 60.09 จุด หรือ 0.53% แตะที่ 11,346.75 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 9.85 จุด หรือ 0.81% ปิดที่ 1,213.40 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 17.07 จุด หรือ 0.66% ปิดที่ 2,562.98 จุด

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาเนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายหลังจากดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากข่าวธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง หรือ QE2 ด้วยการซื้อพันธบัตรในวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ แต่ภาวะการซื้อขายในสัปดาห์นี้ถูกปกคลุมด้วยข้อสงสัยที่ว่า มาตรการ QE2 แข็งแกร่งมากพอที่จะเยียวยาวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐได้หรือไม่

แม้สหรัฐแสดงความเชื่อมั่นว่า มาตรการ QE2 จะช่วยให้สหรัฐคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดการค้าโลก แต่มาตรการดังกล่าวก็ถูกกระหน่ำด้วยกระแสการวิพาษ์วิจารณ์จากทั่วโลกว่าอาจทำให้เกิดสงครามค่าเงิน และทำให้เกิดการเทขายสกุลเงินดอลลาร์อย่างหนักในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศ

ส่วนการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อคืนนี้นับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดความกังวลว่าจะทำให้ผลกำไรในตลาดต่างประเทศของสหรัฐหดตัวลงด้วย นอกจากนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ยังส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงน้ำมันดิบ ปรับตัวลดลง และฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย โดยเมื่อคืนนี้ สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนธ.ค.ร่วงลง 34 เซนต์ แตะที่ 86.72 ดอลลาร์/บาร์เรล

หุ้นเชฟรอน คอร์ป ปิดร่วง 1.46% ขณะที่หุ้นแอทลาส เอนเนอร์ปิดทะยานขึ้น 33.98% หลังจากมีรายงานว่า เชฟรอนเตรียมทุ่มเงินสด 3.2 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อกิจการแอทลาส เอนเนอร์จี ซึ่งเป็นผู้ผลิตก๊าซรายใหญ่

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งประจำเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 1.5% แตะระดับ 4.17 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.7% โดยปัจจัยที่ทำให้สต็อกสินค้าภาคค้าส่งปรับตัวขึ้นเกินคาดมาจากการเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าประเภทยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องจักร และอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน

ตัวเลขสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการคำนวณผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และตัวเลขดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการประเมินวงจรทางธุรกิจและการขยายตัวของเศรษฐกิจ

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือนต.ค. รวมทั้งจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนก.ย.และกระทรวงการคลังสหรัฐจะเปิดเผยงบประมาณของรัฐบาลกลางประจำเดือนต.ค.

วันพฤหัสบดี ไม่มีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ เนื่องจากหน่วยงานของรัฐบาลและตลาดพันธบัตรสหรัฐปิดทำการเนื่องในวันทหารผ่านศึก ส่วนวันศุกร์จะมีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐขั้นต้นเดือนพ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ