บมจ.บ้านปู (BANPU)ระบุว่าจากสภาวะราคาถ่านหินในตลาดโลกที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับที่ดี ดังนั้นจึงคาดว่าราคาขายเฉลี่ยถ่านหินของบริษัทฯ ในปีนี้น่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 71.7 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยปริมาณการจำหน่ายถ่านหินอาจจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 23 ล้านตันเล็กน้อย ในขณะที่เป้าหมายรายได้จากการขายรวมของปีนี้จะใกล้เคียงกับปี 52 ที่ประมาณ 5.8 หมื่นล้านบาท
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU กล่าวว่า สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 3/53 ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 2 เท่าจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้านั้น โดยประมาณร้อยละ 88 หรือ 11,692 ล้านบาท เป็นกำไรที่รับรู้จากการจำหน่ายเงินลงทุนจำนวนร้อยละ 8.72 ของหุ้นทั้งหมดในบริษัท PT Indo Tambangraya Megah หรือ ITM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปูฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย
ส่วนผลการดำเนินงานจากธุรกิจหลักในไตรมาส 3/53 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวมจำนวน 13,688 ล้านบาท ลดลง 193 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจถ่านหินจำนวน 12,607 ล้านบาท คิดเป็นร้อย 92 ของยอดขายรวม และมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า และไอน้ำจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 3 แห่งในประเทศจีน จำนวน 1,081 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8 ของรายได้จากการขายรวม
ทั้งนี้ ธุรกิจถ่านหินในสาธารณรัฐอินโดนีเซียมีผลประกอบการที่ทรงตัวจากการที่ราคาขายถ่านหินยังอยู่ในระดับที่ดี โดยมีการจำหน่ายถ่านหิน จำนวน 5.05 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าและร้อยละ 6 จากไตรมาส 2 ของปีนี้ เนื่องจากสภาวะฝนที่ตกไม่เป็นไปตามฤดูกาลในเกาะกาลิมันตัน จึงส่งผลกระทบต่อการผลิตถ่านหินที่เหมืองอินโดมินโคและเหมืองทรูบาอินโด ในขณะที่เหมืองโจ-ร่งมีการผลิตอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ เนื่องจากสามารถเริ่มการผลิตได้ตามปกติในเดือนสิงหาคมหลังจากได้รับใบอนุญาตการใช้พื้นที่
สำหรับธุรกิจถ่านหินในสาธารณรัฐประชาชนจีน มีการบันทึกส่วนแบ่งกำไรจำนวน 130 ล้านบาท ลดลง 618 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 79 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 1,492 ล้านบาท หรือร้อยละ 91 จากไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งเป็นผลกระทบจากการหยุดการผลิตที่เหมืองต้าหนิงเนื่องจากความล่าช้าในการได้รับการต่ออายุใบอนุญาตการผลิตถ่านหิน ทำให้มีกำลังการผลิตเพียง 0.54 ล้านตันในไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/53 อยู่ในระดับที่ดีที่ 78.18 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน สูงขึ้นร้อยละ 13 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าและร้อยละ 1 จากไตรมาส 2/53 เนื่องจากสภาวะตลาดถ่านหินโดยรวมอยู่ในระดับที่ดีในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 0.71 เหรียญสหรัฐต่อลิตร ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวในอัตราร้อยละ 47
นายชนินท์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้านั้นมีผลประกอบการที่ราบรื่น โดยมีการรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีจำนวน 1,128 ล้านบาท (รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 311 ล้านบาทจากการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ) ส่วนผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 3 แห่งในประเทศจีนยังประสบกับต้นทุนราคาถ่านหินที่ยังอยู่ในระดับสูงจึงส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 24 ล้านบาท หรือปรับลดลงร้อยละ 77 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า