นายวีระวิทย์ ดุละลัมพะ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.บางสะพานบาร์มิล(BSBM) กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ถึงแผนงานปี 54 เบื้องต้นตั้งเป้าปริมาณขายเหล็กเส้นเพิ่มเป็น 1.5-2 แสนตัน จากปี 53 ที่คาดว่าจะขายได้ 1 แสนตัน คิดเป็นรายได้ 2 พันล้านบาท ส่วนทิศทางกำไรสุทธิยังไม่สามารถระบุได้แน่นอน เพราะโดยธรรมชาติหากต้องการผลักดันปริมาณขายเพิ่มขึ้นก็อาจจะต้องยอมลดกำไรลงบ้าง
"ปีหน้ากำลังทำ budget อยู่ตัวเลขน่าจะสูงกว่าปีนี้ในแง่ของยอดขายเพราะน้อยมา 2-3 ปีแล้ว จากที่เคยบอกว่าพยายามจะลุย ปีหน้าเสียงต้องแข็งขึ้นเราจะต้องขายในจำนวนยูนิตที่มากกว่านี้...นโยบายคือต้องมากกว่า เพราะขาย 1 แสนตันมา 3 ปีแล้ว เราหายไปจากตลาดพอควร"นายวีระวิทย์ กล่าว
ก่อนหน้านี้บริษัทให้ความสำคัญกับการรักษาระดับส่วนต่างเพื่อเน้นที่ผลกำไร แต่คณะกรรมการบริษัทได้มอบหมายให้ฝ่ายบริการพิจารณาความสำคัญในด้านปริมาณขายด้วย หลังจากสามารถรักษากำไรได้ดีแล้ว ซึ่งขณะนี้ฝ่ายบริหารอยู่ระหว่างเตรียมทำตัวเลขในแผนธุรกิจปี 54
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความต้องการของตลาดในประเทศปีหน้า เชื่อว่าภาคการลงทุนที่อั้นมาจากปีนี้น่าจะเป็นพระเอก ประกอบกับ หลายพื้นที่ของประเทศประสบกับภาวะน้ำท่วม ดังนั้น ในระยะ 3 เดือนนี้ต่อเนื่องไปถึงหน้าร้อนปีหน้า คือไตรมาส 4/53 ต่อไตรมาส 1/54 คงต้องมีปริมาณการใช้เหล็กมากขึ้น โดยเฉพาะในการซ่อมแซมบ้านเรือน
ส่วนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐในปีหน้ายังไม่เห็นสิ่งใหม่ๆที่เกี่ยวกับสินค้าของเราอย่างชัดเจน ซึ่งงบไทยเข้มแข็งก็กระจายไปในหลายภาคส่วนไม่ได้เฉพาะการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น ดังนั้น บริษัทก็จะหันไปเพิ่มวอลุ่มภาคเอกชน แต่ขอให้กฎระเบียบของภาครัฐมีความชัดเจน ภาคเอกชนก็พร้อมจะเดินหน้าต่อทั้งภาคการผลิตและอสังหาริมทรัพย์
"ปีที่ผ่านมาชะงักกันหมด แม้โครงการจะอยู่นอกมาบตาพุดแต่ไม่มีใครเซ็นอนุมัติ ถ้าทุกอย่างเคลียร์มาบตาพุดเดินหน้าได้ภาคเอกชนก็จะมาเยอะโดยเฉพาะภาคที่จะไปลงทุน และภาคอสังหาริมทรัพย์ก็มีแตะเบรกจากรัฐบาลอีก ไม่รู้ว่าจะมีผลมากน้อยแค่ไหนเพราะภาคอสังหาฯเป็นตัวเดินหลัก โดยเฉพาะโครงการที่ขึ้นตามแนวรถไฟฟ้าก็ใช้เหล็กพอควร"นายวีระวิทย์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มราคาเหล็กในปีหน้า ขณะนี้ยังคาดการณ์ลำบาก แม้ว่าราคาขณะนี้จะค่อนข้างมีเสถียรภาพ แต่ตลาดยังเป็นกังวลอยู่ ซึ่งราคาเหล็กที่มีเสถียรภาพเป็นราคาที่ค้าขายง่ายที่สุด เราก็ต้องเก็บสต็อกให้เหมาะสมที่สุด หากต่ำเกินไปก็จะเสียโอกาสทางธุรกิจได้ ปัจจุบริษัทมีสต็อกประมาณ 3 เดือน หรือประมาณ 3 หมื่นตัน ถือว่าเป็นระดับกลาง ๆ
*ส่งซิก Q3/53 กำไรสูงกว่าปีก่อน,ทั้งปี 53 โตน่าพอใจ มาร์จิ้นเฉลี่ย 15.8%
นายวีระวิทย์ คาดว่า ผลประกอบการในปีนี้จะมีกำไรเป็นที่น่าพอใจ เพราะในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมากำไรก็ออกมาดีกว่าปีที่แล้ว โดยงวด 6 เดือนกำไร 100 ล้านบาท จากทั้งปี 52 มีกำไร 112 ล้านบาท และยังคาดว่าไตรมาส 3/53 กำไรจะออกมาดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรเพียง 16 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมีคำสั่งซื้อ(ออร์เดอร์)รอส่งมอบจนถึงสิ้นปีประมาณ 8,000 ตัน เป็นออร์เดอร์ล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน
สำหรับไตรมาส 4 ปกติจะพ้นจากช่วงหน้าฝน ทำให้มีการก่อสร้างมากขึ้น ประกอบกับ ปีนี้คาดว่าการซ่อมแซมบ้านเรือนหลังภาวะน้ำท่วมตามมา น่าจะช่วยได้ทั้งปีเป็นไปตามเป้า 1 แสนตัน เนื่องจากงวด 9 เดือน ก็ทำได้แล้ว 7.7 หมื่นตัน แต่ก็ขึ้นกับทิศทางราคาด้วย หากมีแนวโน้ทว่าราคาจะปรับลดลงก็อาจทำให้ยอดชายชะลอตัวออกไปเพื่อรอเวลาได้
"โดยปกติไตรมาส 4 จะเป็นไฮซีซั่นมากกว่าไตรมาส 3 แต่ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายการขายของดีลเลอร์ด้วย เพราะเมื่อเดือนต.ค.เราไม่ได้ขายไปถึงผู้ใช้โดยตรง ดีมานด์ตรงนั้นจะมีดีลเลอร์ขั้นกลางอยู่ ต้องดูว่าใน inventory ของดีลเลอร์มีเยอะมั้ยซึ่งจนถึงวันนี้ดีมานด์จริงๆ ยังไม่ได้ตื่นเต้น"นายวีระวิทย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ราคาเหล็กค่อนข้างมีเสถียรภาพในลักษณะซึม ๆ และขณะนี้ราคาเหล็กก็มองยาก แม้ว่าจะมีเสถียรภาพและตลาดก็ยังค่อนข้างกังวล เพราะเคยผันผวนมาก่อนในอดีต ซึ่งในช่วง 2-3เดือนนี้ก็ทรง ๆ อย่างราคาวัตถุดิบที่สะท้อนราคาเหล็กโลก เพราะเรานำเข้า Billet ตอนนี้อยู่ประมาณ 560 เหรียญฯ/ตัน ซึ่ง 2-3 เดือนที่ผ่านมาก็บวก/ลบ 20-30 เหรียญ/ตัน
ส่วนอัตรากำไร(มาร์จิน)เฉลี่ยปีนี้น่าจะใกล้เคียงไตรมาส 1/53 ที่มีมาร์จิ้นประมาณ 15.8% และในช่วงไตรมาส 3/53 ก็จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ยกเว้นไตรมาส 2/53 ที่โดดมาที่ 20% เพราะเป็นช่วงราคาเหล็กขาขึ้น
นายวีระวิทย์ กล่าวว่า มาร์จิ้นขณะนี้ยังถือว่าดีพอสมควร ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทเน้นให้ความสำคัญ แต่อาจจะไม่ได้ดีมากเหมือนกับช่วงที่ราคาเหล็กเป็นขาขึ้น เนื่องจากขณะนี้ราคาค่อนข้างมีเสถียรภาพก็จะทำให้มีกำไรในระดับปกติที่สมเหตุสมผล แต่ก็ทำให้ขายสินค้าได้ง่าย ปริมาณขายไปได้เรื่อย ๆ ไม่ต้องชะงักรอราคา
"แม้มาร์จินอาจจะลดลงหน่อย แต่ค้าขายคล่องขึ้นก็โอเค"นายวีระวิทย์ กล่าว
ด้านกำลังการผลิตในไตรมาส 4/53 เปิดมาเดือน ต.ค.เดินเครื่องผลิตและช่วงนี้ครึ่งแรกเดือน พ.ย.หยุดเดินเครื่อง แต่ครึ่งหลังยังไม่แน่นอน คงต้องขึ้นกับยอดขายเป็นหลัก โดยช่วงหลังของเดือน พ.ย.ก็อาจจะผลิตได้อีก หากตลาดเติบโตต่อเนื่องและมีปริมาณขายที่เหมาะสมกับปริมาณการผลิต ซึ่งช่วงผ่านมาก็ยังใช้อัตรากำลังผลิตค่อนข้างต่ำ
"ที่ผ่านมาบางเดือนเราผลิต 1 หมื่นตันแต่บางเดือนเราผลิต 1.5 หมื่นตัน แล้วปิดเตาเว้นไปเดือนถัดไปค่อยเปิดผลิตใหม่ ซึ่งไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเราก็หยุดบ้างเปิดบ้าง"นายวีระวิทย์ กล่าว
อนึ่ง BSBM ดำเนินธุรกิจผลิตเหล็กเส้นรายใหญ่ของประเทศไทยด้วยกำลังการผลิตสูงสุด 720,000 ตันต่อปี ประกอบด้วยเหล็กเส้นกลม และเหล็กเส้นข้ออ้อยเพื่อการก่อสร้างครอบคลุมทุกขนาดและชั้นคุณภาพที่ต้องการในตลาด