นายแสงรุ้ง นิติภาวะชน กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอส เมทัล (2S) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทมีแผนลงทุนราว 20 ล้านบาทในปี 54 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตท่อเหล็กอีก 2 หมื่นกว่าตัน/ปี นอกจากนั้น ยังมีโครงการขยายพื้นที่คลังสินค้าเพื่อรองรับสินค้าได้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าในปีหน้าความต้องการผลิตภัณฑ์เหล็กน่าจะเพิ่มสูงขึ้นตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ประกอบกับ บริษัทมีแผนจะขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายผลิตภัณฑ์เหล็กเติบโต 10-15% จากปี 52 ที่มีปริมาณขาย 1.1 แสนตัน ซึ่งทำรายได้ประมาณ 2,567 ล้านบาท เมื่อถึงสิ้นปีก็คาดว่าน่าจะได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ เพราะ 9 เดือนแรกมีปริมาณขายแล้ว 90,000 กว่าตัน และเชื่อว่าไตรมาส 4/53 ในแง่ของปริมาณขายน่าจะไปได้เรื่อยๆ แต่ในแง่ราคาประมาณการลำบาก แต่ก็หวังว่าจะปรับตัวดีขึ้น
"ปริมาณขายปีนี้ก็พยายามจะทำให้เข้าเป้ามากกว่า 1.1 แสนตัน"นายแสงรุ้ง กล่าว
ส่วนกำไรสุทธิทั้งปี 53 ยังประมาณการยาก คงต้องรอดูราคาช่วงไตรมาส 4/53 ก่อน เพราะไตรมาส 3/53 กำไรลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อน เป็นไปตามสถานการณ์ความผันผวนของราคาเหล็กที่ขยับลง แต่ไตรมาส 4/53 ก็หวังว่าจะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม งวด 9 เดือนมีกำไรแล้ว 70 กว่าล้านบาท จากงวดปี 52 ทั้งปีกำไรที่ 91.86 ล้านบาท
อนึ่ง 2S ไตรมาส 3/53 มีกำไรสุทธิ 17.12 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 37.55 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.23 บาท และ งวด 9 เดือนแรกปี 53 มีกำไร 70.54 ล้านบาท จากงวด 9 เดือนแรกปี 52 มีกำไร 87.27 ล้านบาท
ขณะที่ประเด็นค่าเงินบาทแข็งค่า เราเป็นส่วนผู้ผลิตที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบก็จะได้รับผลดีราคานำเข้าถูกลง แต่ขณะเดียวกันด้านการส่งออกก็จะมีปัญหา ซึ่งทุกรายก็จะได้รับผลกระทบในลักษณะคล้ายๆกัน ดังนั้น จะต้องมีการบริหารจัดการที่ดี แต่เราจะไม่เก็งกำไรจากสต็อก แต่จะใช้กลยุทธ์หมุนสินค้าให้เร็ว โดยเก็บสต็อกสินค้าไม่นาน แค่ประมาณ 1 เดือน เพราะไตรมาส 4/53 ก็ยังคาดการณ์ราคาเหล็กลำบาก
นายแสงรุ้ง กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะที่ จ.สงขลา ผลกระทบโดยตรงไม่มี เพราะโรงงานของบริษัทอยู่ใน อ.บางกล่ำ ซึ่งไม่ถูกน้ำท่วม แต่ลูกค้าของบริษัทหลายรายได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการชะลอใช้เหล็กไประยะหนึ่ง เชื่อว่าเมื่อน้ำลดแล้วมีการเคลียรฺ์ทุกอย่างเข้าที่ การใช้เหล็กก็น่าจะฟื้นตัวกลับมา ภายใน 1-2 สัปดาห์ก็คาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ
"ในระยะสั้นอาจชะลอแต่คงไม่นานขนาดจะถึงต้นปีหน้า เชื่อว่าภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ก็น่าจะกลับสู่ภาวะปกติ ผลกระทบต่อโรงงานก็คือช่วงที่น้ำท่วมโรงงานก็หยุดการผลิตไปเกือบสัปดาห์"นายแสงรุ้ง กล่าว