บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตของโปรแกรมการออกตั๋วแลกเงินอายุไม่เกิน 270 วัน ซึ่งสามารถออกหมุนเวียนใหม่ได้ มูลค่าไม่เกิน 1.2 หมื่นล้านบาทของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO) ที่ระดับ ‘F1(tha)’
อันดับเครดิตสะท้อนถึงโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทฯ ที่มีศักยภาพและความสามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ความได้เปรียบในการจัดหาน้ำมันดิบและวัตถุดิบ และต้นทุนการกลั่นที่ต่ำ รวมถึงการดำเนินธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า “เอสโซ่" (Esso) ที่มีชื่อเสียงอันยาวนานในประเทศไทย การที่หน่วยผลิตมีการประสานเชื่อมโยงกันกับการผลิตพาราไซลีนเป็นการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทำให้สายการผลิตมีการใช้ประโยชน์สูงสุด และยังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดความผันผวนของรายได้จากการกลั่นน้ำมันอีกด้วย
นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการได้รับการสนับสนุนในด้านการดำเนินธุรกิจและการเงินจาก เอ็กซอนโมบิล คอร์ปอเรชั่นและบริษัทในเครือ ซึ่งฟิทช์ได้จัดอันดับเครดิตสากลของเอ็กซอนโมบิล คอร์ปอเรชั่น ระยะยาวที่ระดับ ‘AAA’ และระยะสั้นที่ระดับ ‘F1+’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ โดยกลุ่มเอ็กซอนโมบิลถือหุ้นบริษัทฯ อยู่ร้อยละ 66 บริษัทฯได้รับประโยชน์จากการใช้เครือข่ายที่มีอยู่ทั่วโลกของเอ็กซอนโมบิล ในการจัดหาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมัน และสามารถใช้ประโยชน์จากการบริการด้านเทคโนโลยี และวิศวกรรม ทรัพยากรบุคคล และการวิจัยและพัฒนาของเอ็กซอนโมบิล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ กลุ่มเอ็กซอนโมบิล มีประวัติการสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทฯ เป็นอย่างดี เช่นการให้เงินกู้ยืมระหว่างบริษัทและการให้วงเงินสำหรับเงินทุนหมุนเวียนแก่บริษัทฯ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 รวมถึงการเพิ่มทุนในปี 2550
ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทฯ ลดลงอย่างมากในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาสิ้นสุดเดือนกันยายน 2553 เนื่องจากค่าการกลั่นและส่วนต่างระหว่างราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ของปิโตรเคมีที่ลดลง รวมถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำลง ซึ่งมีผลทำให้อัตราการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
ผลประกอบการของบริษัทฯ คาดว่าจะฟื้นตัวในปี 2554 และ 2555 เนื่องจากการปรับตัวที่สมดุลขึ้นของอุปสงค์และอุปทาน อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินที่เทียบกับกระแสเงินสดจะยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนเพื่อปรับปรุงหน่วยการกลั่นให้สามารถผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (Adjusted Net Debt/EBITDAR) ในปี 2553 จะเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7.5 เท่า จาก 3.2 เท่าในปี 2552 ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.5 เท่า ในปี 2554 และลดลงต่ำกว่าระดับ 3.5 เท่า ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไป
อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงความเสี่ยงจากความผันผวนที่สูงของราคาน้ำมันดิบ ค่าการกลั่น ตลอดจนลักษณะที่เป็นวัฐจักรของธุรกิจพาราไซลีน โดยธุรกิจพาราไซลีนคาดว่าจะยังคงถูกกดดัน จากกำลังการผลิตส่วนเกินและผลผลิตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นที่ดีขึ้น อย่างน้อยจนถึงช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 บริษัทฯ ยังมีความเสี่ยงจากการที่ประเทศไทยต้องพึ่งพาแหล่งน้ำมันดิบจากต่างประเทศ (แม้ว่าความเสี่ยงดังกล่าวได้รับการบรรเทาลงจากการที่ เอ็กซอนโมบิล มีเครือข่ายทั่วโลกในการจัดหาน้ำมันดิบ) และความเสี่ยงจากการที่มีโรงกลั่นน้ำมันเพียงแห่งเดียว (Single-Site)
ฟิทช์กล่าวว่า ค่าการกลั่นและส่วนต่างระหว่างราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ของปิโตรเคมีเฉลี่ยที่ต่ำอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของการลงทุนที่ใช้เงินกู้ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนหนี้สินอย่างต่อเนื่อง รวมถึงระดับการถือหุ้นและการสนับสนุนทางธุรกิจที่น้อยลงจากกลุ่มเอ็กซอนโมบิล อาจส่งผลกระทบทางลบต่ออันดับเครดิตดังกล่าว