ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 9.39 จุด หลังยอดค้าปลีกสหรัฐพุ่งเกินคาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 16, 2010 06:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 พ.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนต.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาด นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับข่าวที่ว่าบริษัท แคทเทอร์ พิลลาร์ ตกลงซื้อกิจการบริษัท บูซีรัส อินเตอร์เนชันแนล เพื่อขยายกิจการในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 9.39 จุด หรือ 0.08% แตะที่ 11,201.97 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 1.46 จุด หรือ 0.12% แตะที่ 1,197.75 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 4.39 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 2,513.82 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กและ Nasdaq มีอยู่เพียง 6.71 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 1,577 ต่อ 1,386 ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอยแล้ว โดยเมื่อวานนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนต.ค.ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 1.2% ทำสถิติเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 7 เดือน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% หลังจากยอดขายยานยนต์และวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น โดยยอดขายยานยนต์พุ่งขึ้น 5.0% ในเดือนต.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่ยอดขายวัสดุก่อสร้างขยายตัวขึ้น 1.9%

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 0.9% ขณะที่ยอดขายในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.5% ซึ่งบ่งชี้ว่าผลกำไรที่เพิ่มขึ้นทำให้ภาคธุรกิจปรับเพิ่มปริมาณสินค้าในสต็อก นอกจากนี้ ตัวเลขดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นว่าภาคธุรกิจยังคงฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ในยามที่เศรษฐกิจยังเผชิญกับความไม่แน่นอนก็ตาม

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้ปัจจัยบวกจากข่าวแคทเทอร์ พิลลาร์ อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างและเหมืองแร่รายใหญ่สุดของโลก ตกลงซื้อกิจการบริษัท บูซีรัส อินเตอร์เนชันแนล เป็นเงินสดมูลค่า 7.6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายกิจการในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่

อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป โดยเฉพาะไอร์แลนด์ หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลไอร์แลนด์กำลังเจรจากับเจ้าหน้าทีสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือไอร์แลนด์

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของไอร์แลนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่มีการใช้สกุลเงินยูโรในปี 2542 ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินจากตลาดการเงินของรัฐบาลไอร์แลนด์ปรับตัวพุ่งขึ้นอีก ขณะเดียวกันมีกระแสความวิตกกังวลว่า ไอร์แลนด์อาจจะเผชิญปัญหาเหมือนกับกรีซ และวิกฤตหนี้สาธารณะรอบใหม่อาจลุกลามยุโรปอีกครั้ง ซึ่งจะฉุดรั้งเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆในกลุ่มยูโรโซน เช่นสเปนและโปรตุเกส หดตัวลงด้วย

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค., กระทรวงการคลังจะเปิดเผยข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของต่างชาติเดือนก.ย., ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนต.ค. และสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) จะเปิดเผยดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนพ.ย.

วันพุธ กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค. และกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนต.ค. วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด จเปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนต.ค. และเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียจะเปิดเผยผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนพ.ย. ส่วนวันศุกร์ ไม่มีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ