โบรกฯเล็ง BIGC ซื้อคาร์ฟูร์ในไทยเพิ่มกำไรปีหน้าจากประมาณการเดิม 2-5%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 16, 2010 09:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC)เข้าซื้อคาร์ฟูร์ 42 สาขาในไทยมูลค่า 35,500 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและต่อรองกับซัพพลายเออร์ มีการประหยัดจากขนาดรวมทั้งลดความเสี่ยงในการหาทำเลและขอใบอนุญาตเปิดสาขาใหม่

อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายจะเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากใช้เม็ดเงินลงทุนจากการกู้ยืมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนจะเพิ่มเป็น 1.8 เท่า จึงประเมินเบื้องต้นว่าการซื้อคาร์ฟูร์จะเพิ่มกำไรปีหน้าจากประมาณการเดิม 2-5% ราคาเหมาะสมอิง DCF เพิ่มเป็น 78-82 บาท แนะนำ "เต็มมูลค่า"

BIGC เข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ 42 สาขาในประเทศไทยรวมมูลค่า 868 ล้านยูโรหรือประมาณ 35,500 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 13.0 เท่าของ EBITDA หรือ 8.6 เท่าของประมาณการ EBITDA ปีนี้ซึ่งรวม synergy จากการซื้อคาร์ฟูร์ การซื้อกิจการคาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงต้นปี 2554 และจะเริ่มทยอยเปลี่ยนสาขาทั้งหมดของคาร์ฟูร์เป็นบิ๊กซีภายใน 1 ปี อย่างไรก็ตาม ดีลนี้จะต้องผ่านมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 5 ม.ค. 2554

ปัจจุบันคาร์ฟูร์ในประเทศไทยมีจำนวน 42 สาขา (30 สาขาอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล) มีพื้นที่ขายรวม 279,000 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต) 34 แห่ง และขนาดเล็ก (ซุปเปอร์มาร์เก็ต) 8 แห่ง โดยสาขาที่มีพื้นที่ให้เช่าด้วยมี 37 แห่งซึ่งมีพื้นที่รวม 150,000 ตารางเมตร

การซื้อคาร์ฟูร์จะทำให้ BIGC มีสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 69 สาขาเป็น 103 สาขา ซึ่งเริ่มใกล้เคียงกับผู้นำตลาดคือเทสโก้-โลตัสที่มีสาขา 116 แห่ง จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ รวมทั้งมีการประหยัดจากขนาดเนื่องจากการมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคือสาขาเพิ่มขึ้นทันทีโดยไม่ต้องหาทำเลและขอใบอนุญาตเปิดสาขา เนื่องจากในปัจจุบันทำเลในการเปิดสาขาหายากขึ้นและยังมีข้อจำกัดด้านผังเมือง อีกทั้งในอนาคตเมื่อมีกฎหมายค้าปลีกค้าส่งจะทำให้การขอใบอนุญาตในการเปิดสาขาทำได้ยากขึ้น

อย่างไรก็ดี สาขาคาร์ฟูร์บางแห่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกับสาขาบิ๊กซีจึงอาจเกิดการ Cannibalise กันเองบ้าง ส่วนผลประกอบการของคาร์ฟูร์ในปี 2551 มีรายได้จากการขาย ค่าเช่า และ บริการ 27.7 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 554 ล้านบาท ส่วนปี 2552 รายได้ 29.9 พันล้านบาทแต่ขาดทุน 314 ล้านบาท

ล่าสุด(12 พ.ย.)หุ้น BIGC ปิดที่ 78 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท(+0.65%)มูลค่าซื้อขาย 85.92 ล้านบาท

และเมื่อวานนี้(15 พ.ย.)ได้ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP หยุดการซื้อขายหุ้นชั่วคราว และตลาดหลักทรัพย์จะปลดเครื่องหมาย SP ในวันนี้(16 พ.ย.)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ