นายพุทธชาติ รังคสิริ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น(TWZ)เตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัทภายในเดือน ธ.ค.53 เพื่อพิจารณาจัดตั้งบริษัทย่อยในฮ่องกง ใช้งบลงทุน 1 ล้านดอลลาร์ โดย TWZ ถือหุ้น 100% ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อกฎหมายและด้านภาษีที่เกี่ยวข้อง โดยการตั้งบริษัทดังกล่าวเพื่อขยายฐานลูกค้ารายย่อยในตลาดต่างประเทศ รวมถึงลดต้นทุนด้านภาษีนำเข้า การขนส่ง และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
"เรื่องนี้ได้เสนอบอร์ดไปแล้วเมื่อวานนี้ แต่ไม่ได้ถูกตีกลับ แต่บอร์ดสั่งให้ไปศึกษาข้อกฎหมายและเรื่องภาษีเพิ่มเติม คาดว่าจะเสนออีกครั้งในเดือน ธ.ค.นี้...การตั้งเปิดสาขาในต่างประเทศเพื่อลดขั้นตอนต่างๆ ทั้งภาระภาษีที่ต้องนำเข้า ลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องนำเข้าเป็นสกุลดอลลาร์ และเป็นการตั้งสำนักงานใกล้ประเทศผู้ผลิตมือถือ ลดช่วยต้นทุนด้านขนส่งได้"นายพุทธชาติ กล่าว
สำหรับภาพรวมรายได้ในปี 53 คาดว่าจะเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 4 พันล้านบาท หรือเติบโต 10% แต่อัตรากำไรขั้นต้น(Gross Margin)อยู่ที่ 9% ลดลงจากปีก่อน 1% เนื่องจากการแข่งขันลดราคาขายโทรศัพท์มือถือ จากเฉลี่ยเครื่องละ 2,200 บาทในปีก่อน เหลือเครื่องละ 2,000 บาทในปีนี้ ทำให้กำไรสุทธิปีนี้คาดว่าอยู่ใกล้เคียงปีก่อน
รายได้ในปีนี้ส่วนหนึ่งมาจากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นอาคารสำนักงานให้เช่า-ขาย ถ.รัชดาภิเษก มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่ดินเช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งมอบและโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้า คาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในปี 54 คาดว่าจะมีรายได้จากการขายสินค้าในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการส่งสินค้าไปขายในอินเดีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการซื้อค่อนข้างมาก จึงคาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายได้มากและมีสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาซอฟท์แวร์ และพัฒนาทีมขาย
"ภาพรวมตลาดมือถือยังคงเติบโตขึ้นทุกปี จากประชากร 65 ล้านคน มีคนมีมือถือ 40 ล้านคน แต่ 70 ล้านเลขหมาย เนื่องจากคนหนึ่งมีใช้มากกว่า 1 ซิม เพราะมีโปรโมชั่นจากค่ายมือถือต่างๆ ทำให้คนยังสับสนที่จะใช้ทางเลือก โอเปอเรเตอร์ก็พยายามหาทางให้คนมาใช้ค่ายตนเองมากที่สุด ก็ออกโปรโมชั่น แต่อนาคตเชื่อว่าจำนวนซิมจะลดลง แต่อัตราการใช้แต่ละเลขหมายจะเพิ่มขึ้น"นายพุทธชาติ กล่าว
นายพุทธชาติ กล่าวยืนยันว่า กลุ่มตระกูลรังคสิริยังไม่มีนโยบายขายหุ้นเพิ่มเติมจากที่ได้ขายไปก่อนหน้านี้ โดยขณะนี้กลุ่มยังถือหุ้นรวมกว่า 30% โดยเห็นว่าเจ้าของกิจการควรต้องถือหุ้นอย่างน้อย 1 ใน 3 ของหุ้นทั้งหมด
ส่วนการเจรจาขายหุ้นให้กับพันธมิตรร่วมทุนจากจีนและไต้หวัน ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า หลังจากได้มีการเจรจาร่วมกันก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุป ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะตลาดในประเทศ รวมถึงปัญหาการเมืองในไทย
"ตอนนี้ยังไม่มีนโยบายขายหุ้น ส่วนจะซื้อเพิ่มหรือขาย เป็นเรื่องของอนาคต"นายพุทธชาติ กล่าว