นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.อาร์เอส (RS) กล่าวว่า ในปี 54 บริษัทมีแผนจะเปิดช่องทีวีดาวเทียมเพิ่มอีก 1 ช่องในช่วงประมาณไตรมาส 1/54 เป็นรายการเอ็นเตอร์เทนเม้นท์วาไรตี้ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท และคาดว่าจะทำรายได้ในปีแรกราว 100 ล้านบาท
ปัจจุบัน RS มีช่องทีวีดาวเทียมหรือเคเบิลทีวี 2 ช่องได้แก่ ช่องสบายดีทีวี และช่องยูแชนแนล คาดว่าปีหน้าจะทำรายได้เพิ่มเป็นช่องละ 100 ล้านบาท จากปีนี้น่าจะทำได้ราวช่องละ 50 ล้านบาท โดย RS มองว่าธุรกิจทีวีดาวเทียมจะเป็นตัวขับเคลื่อนผลประกอบการที่สำคัญในปีหน้า จากขณะนี้มีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 5% ของรายได้รวม แต่ในปีหน้าคาดว่าสัดส่วนรายได้จะเพิ่มเป็น 15-20%
"ปีหน้ารายได้จากกีฬาจะลดลง แต่รายได้จากธุรกิจมีเดีย โดยเฉพาะทีวีดาวเทียมจะเพิ่มขึ้นแทน มองว่าธุรกิจมีเดียปีหน้าจะเติบถึง 100% และทีวีดาวเทียมจะเป็น growth rider ของบริษัทในอีก 3-5 ปีข้างหน้า"นางพรพรรณ กล่าว
นางพรพรรณ กล่าวว่า ขณะนี้ธุรกิจทีวีดาวเทียมถือเป็นธุรกิจ red ocean ไม่ใช่ blue ocean หรือ white ocean เป็นอุตสาหกรามที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ยังไม่นิ่ง ผู้ที่เคยผลิตคอนเทนท์ก็กระโดดเข้ามาในธุรกิจนี้ เพราะฟรีทีวีไม่มีที่เหลือให้เล่นแล้ว และทีวีดาวเทียมเป็นการลงทุนที่ไม่สูงมาก จึงทำให้รายเล็กเข้ามามากขึ้น ช่วงนี้อยู่ในช่วงฝุ่นตลบ แต่ในที่สุดก็จะเหลือผู้เล่นรายใหญ่ ๆ ไม่กี่ราย ซึ่งเป็นโอกาสทองที่จะเข้ามาในธุรกิจทีวีดาวเทียม
นางพรพรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับผลประกอบการปี 53 ธุรกิจจะเป็นไปตามแผนงานทุกอย่าง โดยรายได้จะทำได้ราว 2.9 พันล้านบาท และกำไร 330 ล้านบาท โดยคาดว่ารายได้และกำไรในไตรมาส 4/53 จะใกล้เคียงหรือต่ำกว่าไตรมาส 3/53 เล็กน้อย แต่บริษัทคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการงวดปีนี้หลังจากปิดงบการเงิน โดยมีนโยบายจ่ายไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ รายได้และกำไรในไตรมาส 4/53 ใกล้เคียงหรือน้อยกว่าไตรมาส 3/53 เล็กน้อย เนื่องจากไตรมาส 3/53 มีรายได้จากค่าลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกและจะมีรายได้จากธุรกิจเพลงสัดส่วนมากกว่า ส่วนธุรกิจโชว์บิซรายได้จะมากขึ้นกว่าไตรมาส 3/53 เนื่องจากมีการส่งมอบงานในไตรมาส 4/53 ให้ภาครัฐ เช่น งานกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในส่วนธุรกิจมีเดีย คาดว่าจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน
นางพรพรรณ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวเรื่อง"ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์"ที่กลายเป็นข่าวฮือฮาในช่วงก่อนหน้านี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบกับรายได้ของบริษัทมากนัก แต่กระทบกับภาพลักษณ์ของบริษัทในระยะสั้นเท่านั้น