นายอภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร ประธานกรรมการ บมจ.พีเออี (ประเทศไทย)(PAE)ตั้งเป้าปี 54 รายได้เติบโต 400-500% มาที่ 2-3 พันล้านบาท เนื่องจากขณะนี้บริษัทมีงานในมือ(backlog)แล้ว 1.3 พันล้านบาท และยังคาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะหางานเพิ่มได้อีกว่า 80% ของมูลค่า backlog
ทั้งนี backlog ที่มีในขณะนี้ส่วนใหญ่จะเป็นงานด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมี มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท งานโครงสร้างและสาธารณูปโภคมูลค่า 900 ล้านบาท งานตรวจสอบแบบไม่ทำลาย มูลค่า 100 ล้านบาท และงานออกแบบวิศวกรรม ซึ่งเป็นงานใหม่ มูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในปีหน้า
ในปีหน้าบริษัทจะมุ่งเน้นรับงานติดตั้งและซ่อมบำรุงปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยคาดว่าจะทำรายได้เริ่มต้นที่ราว 35% เป็นอย่างน้อย โดยในปีนี้บริษัทหันมารับงานในประเทศมากขึ้น หลังจากที่เมื่อก่อนจะรับงานในต่างประเทศหรือมีมูลค่าประมาณ 3-5 พันล้านบาท เนื่องจากงานในประเทศมีความเสี่ยงน้อยกว่า แม้จะมีมูลค่างานต่ำกว่าก็ตาม
แต่นับจากนี้หากงานในต่างประเทศมีความเสี่ยงน้อยลง บริษัทก็พร้อมจะเข้าไปรับงานโดยจะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป ซึ่งในขณะนี้มีการติดต่อเข้ามาแล้วหลายงานด้วยกัน
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวว่า บริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในปีหน้าให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 53 ที่ระดับ 10% กว่า การที่อัตรากำไรขั้นต้นไม่เติบโต เนื่องจากงานในมือปัจจุบันจะเป็นการรับงานก่อสร้างโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ซึ่งมีอัตรากำไรค่อนข้างต่ำ แต่ในปีหน้าจะหันมารับงาน oil&gas มากขึ้น เนื่องจากอัตรากำไรค่อนข้างสูง
บริษัทมั่นใจว่าส่วนผู้ถือหุ้นในปีนี้จะไม่ติดลบ จากปัจจุบันที่มีอยู่เฉียด 1.9 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการไตรมาส 4/53 จะพลิกกลับมามีกำไร ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น และไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนในปีนี้ ส่วนปีหน้าแผนเพิ่มทุนจะมีการพิจารณาอีกรั้งก่อนประชุมผู้ถือหุ้นในเดือน เม.ย. โดยมองไว้ 2 ทาง คือการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับ PP หรือขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม
นายอภิสิทธิ์ คาดว่าผลดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 4/53 จะพลิกกลับมาเป็นกำไร จากไตรมาส 3/53 ที่ขาดทุนประมาณ 25 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีผลขาดทุนสุทธิ 84 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้มีการปรับโครงสร้างใหม่ ทั้งลดบุคลากรและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมทั้งมีรายได้จากงานใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้น
บริษัทยังมีแผนจะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 600 ล้านบาท ให้หมดไปภายใน 3-4 ปี หรืออย่างเร็วที่สุดภายใน 1-2 ปีหากมีโครงการขนาดใหญ่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทกลับมามีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น จนสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้