โบรกฯเชียร์"ซื้อ"MINT กำไรฟื้นตัวเติบโตต่อเนื่อง-ภาพรวมธุรกิจแข็งแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 19, 2010 15:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เห็นพ้องหนุน"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT)โดยบริษัทได้ผ่านพ้นช่วงต่ำสุดมาแล้วในไตรมาส 2/53 ที่มีผลประกอบการขาดทุน จากผลกระทบทางการเมืองทำให้นักท่องเที่ยวยกเลิกจองโรงแรม รวมถึงธุรกิจอาหารที่ได้รับผลกระทบด้วย

แต่ผลประกอบการเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 3/53 ที่มีกำไรสุทธิ และคาดว่าไตรมาส 4/53 กำไรสุทธิจะโดดเด่นที่สุด จากช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อการจองห้องพักโรงแรม และยังมีการรับรู้รายได้บางส่วนจากโครงการคอนโด St.Regis ส่วนปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ส่งผลสูญเสียต่อรายได้เพียงเล็กน้อย คาดทั้งปีมีกำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 1,400 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในปีหน้าการทำกำไรของบริษัทยังคงโดดเด่นต่อเนื่อง จากธุรกิจโรงแรมที่มีการเปิดโรงแรมใหม่ รวมถึงการขยายธุรกิจด้านอาหาร ทั้งการขยายสาขา และการขายสิทธิเฟรนไชน์ทั้งในและต่างประเทศ

ทั้งนี้ ภาพรวม MINT ยังมีความแข็งแกร่งทั้งด้านการบริหารจัดการธุรกิจ และฐานะการเงิน ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก

          โบรกเกอร์           คำแนะนำ             ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.กิมเอ็ง              ซื้อ                    16.50
          บล.เอเซีย พลัส          ซื้อ                    15.75
          บล.ฟิลลิป               ซื้อ                    16.00
          บล.บัวหลวง             ซื้อ                    15.80
          บล.ดีบีเอส              ซื้อ                    16.20
          บล.ทิสโก้               ซื้อ                    16.00
          บล.กรุงศรีอยุธยา         ซื้อ                    14.04

นางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า MINT เป็นหุ้นที่มีโครงสร้างทางการเงินและการบริหารธุรกิจที่แข็งแกร่ง สามารถสร้างผลกำไรค่อนข้างดี โดยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้วช่วงไตรมาส 2/53 ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองทำให้ผลประกอบการออกมาขาดทุน แต่การทำกำไรเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 3/54 และไตรมาส 4/53 การทำกำไรมาจากธุรกิจโรงแรม ที่มีอัตราเข้าพักโรงแรมมีแนวโน้มเพิ่มเป็นเกือบ 60% เนื่องจากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว MINT ยังคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการขายคอนโด St.Regis 2 ยูนิต ดังนั้นโดยรวมทั้งปี 53 คาดว่าบริษัทยังทำกำไรสุทธิ ประมาณ 1,450 ล้านบาท ใกล้เคียงปี 52

ส่วนปี 54 บริษัทยังทำกำไรสุทธิเติบโตได้ต่อเนื่อง จากธุรกิจโรงแรมที่ฟื้นตัวตามการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น รวมถึงการเปิดโรงแกรมใหม่ๆ และการรับรู้รายได้จากคอนโด St.Regis ซึ่งภาพรวมในระยะ 5 ปี ข้างหน้าบริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจทั้งโรงแรมและอาหาร ที่จะช่วยผลักดันการทำกำไรได้เติบโตต่อเนื่อง

“ปัจจัยเสี่ยงของ MINT จะมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก เช่น กรณีที่เกิดปัญหาการเมืองที่ส่งผลกระทบอย่างมาก แต่ในแง่การดำเนินธุรกิจของบริษัทแล้วค่อนข้างดีมาก เนื่องจากมีการกระจายสินทรัพย์ การทำธุรกิจที่สร้างรายได้ที่หลากหลาย" นางสาวสุทธาทิพย์ กล่าว

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส มองหุ้น MINT ยังเติบโตโดดเด่นทั้งรายได้และกำไรเหนือหุ้นอื่นในกลุ่มโรงแรม โดยแนวโน้มไตรมาส 4/53 ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้ธุรกิจโรงแรม อาหาร และการจำหน่ายสินค้าของบริษัท จะได้รับผลประทบจากสถานการณ์น้ำท่วมที่หาดใหญ่และสมุย มีผลให้สูญเสียรายได้วันละ 1 ล้านบาท แต่โดยรวมสูญเสียรายได้น้อยมากเพียง 2% ของรายได้รวมต่อวัน

แต่ธุรกิจโรงแรม ยังคงได้อานิสงค์ของช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวมาผลักดันอัตราการเข้าพักเฉลี่ยปรับตัวดีขึ้นเป็น 55-60% ด้านธุรกิจอาหารยังมีทิศทางที่ดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการขยายสาขาร้านอาหารใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงการรับรู้รายได้การโอนคอนโด St.Regis จำนวน 2 ยูนิต มูลค่า 280 ล้านบาท คาดบันทึกกำไรประมาณ 50-60 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ภาพรวมการทำกำไรของ MINT ปีนี้ยังคงทรง โดยคาดว่ามีกำไรสุทธิ 1,433 ล้านบาท

แต่ปี 54 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 43% หรือเป็นกำไรสุทธิ 2,000 ล้านบาท มาจากธุรกิจโรงแรม ซึ่งฟื้นตัวตามการท่องเที่ยวและการเปิดบริการโรงแรมใหม่ขนาดใหญ่ภายใต้การลงทุนเอง 2 แห่ง รวมถึงสามารถปรับเพิ่มค่าห้องพักได้ 4% มีการรับรู้รายได้จาการขายคอนโด St.Regis เต็มปีเป็นปีแรก จำนวน 12-16 ยูนิต รวมถึงคาดจะมีการบันทึกรายได้จากการขายวิลล่าที่สมุยเพิ่มอย่างน้อย 1 หลัง

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการสถานพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา(Time Share)ระยะเวลา 5 ปี โดยในปีหน้า จะมีจำนวนโรงแรม 4 แห่งร่วมให้บริการ คาดจะสร้างรายได้ประมาณ 300 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 5 ปี คาดโครงการดังกล่าวจะทำรายได้ 360 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงแผนการขยายธุรกิจอาหาร ก็มีแผนขยายสาขาร้านอาหารใหม่ต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศผ่านการลงทุนเองและให้สิทธิแฟรนส์ไชส์

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงของธุรกิจที่อาจเกิดจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงเหตการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ปัญหาการเมืองที่เคยเกิดขึ้นเมื่อต้นปี และส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมอย่างมาก ขณะที่เงินบาทแข็งค่าไม่ได้ส่งผลกระทบมาก เนื่องจากอัตราค่าห้องพักของโรงแรมในประเทศไทยยังค่อนข้างมีราคาถูก

“หุ้น MINT ยังโดดเด่นมากกว่าหุ้นกลุ่มโรงแรมอื่นๆ หลักๆ คือโรงแรมฟื้นตัวได้ดีขึ้น เพราะธุรกิจโรงแรมถือว่ามีกำไรค่อนข้างดีหากเทียบธุรกิจอื่นๆ เช่นอาหาร และยังมีตัวช่วยที่คอนโด St.Regis ที่รับรู้รายได้เต็มปี ที่จะช่วยผลักดันกำไรในปีหน้า" นักวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส กล่าว

บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสฯ ระบุว่า ไตรมาส 4/53 เห็นภาพฟื้นตัวของบริษัทชัดเจน เพราะ เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวที่ดีสุดในรอบปี รวมทั้งมีการขายคอนโด St.Regis 2 ห้อง ส่วนผลกระทบจากเรื่องน้ำท่วมเป็นไปเพียงเล็กน้อย

ส่วนปี 54 เราคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงมากเป็น 63% เป็น 2,300 ล้านบาท เพราะการขายคอนโด St.Regis การฟื้นตัวของธุรกิจ ส่วนธุรกิจอาหารที่แข็งแกร่งก็ช่วยเสริมอยู่แล้ว แรงผลักดันมาจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการขยายสาขา แม้ว่ามีความกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับราคาวัตถุดิบอาหารที่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ MINT มีข้อดีคือ ได้กำหนดราคาวัตถุดิบหลักคงที่ได้ในสัดส่วน 80% นอกจากนี้บริษัทก็ประสบความสำเร็จในการปรับเมนู เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้วัตถุดิบที่มีราคาสูง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ