บมจ.ธีระมงคล อุตสาหกรรม (TMI) คาดว่ารายได้ในช่วงไตรมาส 4/53 จะดีกว่าไตรมาส 3/53 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งทำให้รายได้ทั้งปีนี้น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 17-20% ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 30% หลังจากบริษัทมีการปรับขึ้นราคาสินค้า
ส่วนกำไรในปี 53 คาดว่าคงไม่ถึง 17-20% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบ
ทั้งนี้ ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่า กระทบการส่งออกพอสมควรแต่ในส่วนของบริษัทได้มีการทำฟอร์เวิร์ดล่วงหน้าไว้แล้ว ส่วนปัญหาน้ำท่วมตอนแรกได้รับผลกระทบ แต่ตอนนี้ยอดขายกลับมาเป็นปกติแล้ว
นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการ TMI กล่าวว่า อัตรากำไรขั้นต้น ในปี 53 คาดว่าจะใกล้เคียงหรือลดลงเล็กน้อยจาก 25.56% ในปี 52 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาทองแดงช่วงต้นปี 53 อยู่ที่ 5 พันเหรียญ/ตัน ปัจจุบันอยู่ที่ 8,400 เหรียญ/ตัน และราคาทำนิวไฮใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาที่ 8,900 เหรียญ/ตัน ส่วนราคาซิลิคอน 700 เหรียญ/ตัน ขณะนี้ขึ้นมาอยุ่ที่ระดับ 1,000 เหรียญ/ตัน
แต่คาดว่าราคาวัตถุดิบในปี 54 จะปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น โดยในปีหน้าบริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 17-20% ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะดีกว่าปีนี้ หลังประเมินว่าราคาวัตถุดิบทั้งทองแดงและซิลิคอนปรับตัวลดลง รวมทั้งบริษัทจะได้รับสิทธิประโยชน์จากบีโอไอเป็นปีแรก จากทั้งหมด 8 ปี ประกอบกับคาดว่าจะบริหารจัดการในส่วนดีลเลอร์ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเปิดโชว์รูม/แวร์เฮ้าส์ ย่านเจริญนคร ในช่วงปลายเดือนก.พ. 54 โดยใช้งบประมาณลงทุน 20 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันนี้ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเสร็จแล้ว เหลือเพียงการตบแต่ง ซึ่งคาดว่าจะคุ้นทุนใน 4-5 ปี
"โชว์รูมของบริษัทจะใช้แสดงสินค้าของบริษัท โดยในปีหน้าจะนำสินค้าใหม่ๆ เข้ามาจัดแสดงมากขึ้น รวมถึงใช้เป็นออฟฟิศหลักของบริษัท ซึ่งจะทำให้ช่วยลดต้นทุนต่อไปในอนาคต เนื่องจากในปัจจุบันออฟฟิศกระจัดกระจายอยู่ในหลายๆ ที่"นายธีระชัย กล่าว
นายธีระชัย กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทจะขยายการขายผ่านโมเดิร์นเทรดมากขึ้น และมีแผนบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเน้นตลาดเดิม อาทิ อาเซียน ตะวันออกกลาง กลุ่มเอเชียใต้ ก่อนจากนั้นจะเปิดตลาดใหม่ เนื่องจากเห็นว่าสินค้าประเภทให้แสงสว่างยังมีอีกมาก โดยคาดว่าการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นำเข้าวัตถุดิบจากจีน จะช่วยให้รายได้จากการส่งออกเติบโตขึ้นอีกประมาณ 20%
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังรักษาสัดส่วนรายได้ในประเทศที่ 90% และต่างประเทศ 10% เท่ากับปีนี้ไว้ก่อน เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ แต่ทั้งนี้บริษัทได้มีการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้แล้ว โดยการพยายามรักษาสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบกับการส่งออกให้เหมาะสมเพื่อป้องกันการขาดทุนและมีการซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าตั้งแต่ปี 54 เป็นต้นไป