โบรกเกอร์เห็นพ้องหนุน"ซื้อ"หุ้นบมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR)หลังไตรมาส 3/53 ทำกำไรสุทธิ 214 ล้านบาท สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และเป็นการทำรายได้สูงสุดเป็นประว้ติการณ์จากการขายตั๋วภาพยนต์และอาหาร เครื่องดื่ม
พร้อมกันนั้นยังคาดแนวโน้มไตรมาส 4/53 ทำรายได้เติบโตต่อเนื่อง แต่อาจชะลอลงจากไตรมาส 3/53 เนื่องจากภาพยนตร์ที่เข้าฉายคงจะทำรายได้น้อยกว่า แต่คาดมีกำไรพิเศษจากการนำโครงการ ซูซูกิ อเวนิว เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ อีก 80-100 ล้านบาท
ส่วนปี 54 มองรายได้และกำไรยังเติบโตต่อเนื่อง จากการที่มีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉายหลายเรื่อง โดยเฉพาะหนังภาคต่อที่เคยสร้างรายได้สูง รวมถึงการมีรายได้ต่อเนื่องจากค่าโฆษณา ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ เริ่มมีรายได้ที่ดีขึ้นมาก
นอกจากนี้ยังมอง MAJOR เป็นหุ้นที่น่าลงทุน เพราะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจ่ายปันผล 0.70 บาท/หุ้น และปี 54 ปันผล 0.79 บาท/หุ้น
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.กิมเอ็ง ซื้อ 17.40 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 17.47 บล.ไอร่า ซื้อ 18.40 บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 19.50 บล.ฟิลลิป ซื้อ 16.00 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 20.00
นางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า จากผลประกอบการ MAJOR ไตรมาส 3/53 ที่มึกำไรสุทธิ 214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% เนื่องจากรายได้จากการขายตั๋วภาพยนต์และอาหารเครื่องดื่มสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่มองว่าในไตรมาส 4/53 แม้ผลประกอบการยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่คงไม่ได้สูงเท่าไตรมาส 3/53 ประกอบกับ CAWOW มีผลขาดทุนอย่างต่อเนื่องทำให้ MAJOR อาจมีการตั้งด้อยค่าเงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาทในไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมปี 53 MAJOR มีกำไรสุทธิ ซึ่งไม่รวมรายการพิเศษยังเติบโตได้ 86% อยู่ที่ 578 ล้านบาท แต่อาจจะมีรายได้สูงขึ้น เนื่องจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์จะทำให้มีกำไรพิเศษเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 80-100 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มปี 54 บริษัทยังมีกำไรเติบโตได้ต่อเนื่อง 10-15% โดยรายได้หลักมาจากการฉายภาพยนตร์ที่น่าสนใจหลายเรื่อง ทั้งภาคต่อภาพยนต์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่อง เช่น แฮรี่ พอร์ตเตอร์ 7.2, ทรานสฟอร์เมอร์ 3 , Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides, ทไวไลท์ 4.1 และ ตำนานสมเด็จพระนเรศวร 3-4
สำหรับความเสี่ยงทางธุรกิจของ MAJOR ส่วนใหญ่จะมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก เช่น ปัญหาการเมือง การชุมนุมต่างๆ ขณะที่รายได้จากภาพยนต์คาดการณ์ได้ยากในการทำรายได้แต่ละเรื่อง ส่วนรายได้ธุรกิจโฆษณายังมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่
“โดยภาพรวมหนังที่ฉายคงประเมินได้ยากว่าเรื่องไหนจะทำรายได้ดี ไม่ดี แต่ถ้าเป็นหนังภาคต่อ ก็พอประเมินได้จากหนังภาคก่อน ส่วนความเสี่ยงส่วนใหญ่จะมาจากปัจจัยภายนอกมากกว่า...ภาพรวมการดำเนินธุรกิจฟื้นตัวได้ดี"นางสาวสุทธาทิพย์ กล่าว
ด้านนายดิษฐนพ วัธนเวคิน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน มองว่า ธุรกิจของ MAJOR ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในปี 54 จากแนวโน้มยอดขายราคาขายตั๋วภาพยนตร์ที่สูงขึ้น เนื่องจากมีภาพยนต์ที่น่าสนใจหลายเรื่องที่ทำรายได้ Box Office
ขณะที่เม็ดเงินโฆษณาในสื่อโรงภาพยนตร์ก็มีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ และส่วนธุรกิจย่อยอื่น ๆ เช่น โบว์ลิ่งและคาราโอเกะก็เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นจากการปรับการทำกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ จึงคาดปี 54 MAJOR จะมีกำไรสุทธิ 719 ล้านบาท เติบโต 19%
บล.ไอร่า ออกบทวิเคราะห์ว่า ผลประกอบการ MAJOR ในไตรมาส 3/53 ดีกว่าที่คาด ทำให้กำไรใน 9 เดือน คิดเป็น 80% ของกำไรสุทธิทั้งปี 53 ดังนั้น ทั้งปี 53 คาดกว่า MAJOR จะมีกำไรสุทธิ 686 ล้านบาท เติบโตถึง 105% จากปีก่อน แต่แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/53 คาดว่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากหากเทียบหน้าหนังที่จะเข้าฉาย คาดว่าทำเงินได้น้อยกว่า
แต่หากไตรมาส 4/53 มีกำไรพิเศษจากการขาย ซูซูกิ อเวนิว(เดิมชื่อ รัชโยธิน อเวนิว)เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ บริษัทคาดว่าจะมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าวประมาณ 80-100 ล้านบาท
ในปี 54 คาดจะมีหนังภาคต่อหลายเรื่องที่เคยสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำแล้วในอดีตเข้าฉาย อันได้แก่ ตำนานสมเด็จพระเนศวร ภาค 3-4, Harry Potter ภาคจบ , Transformer 3 เป็นต้น ส่งผลทำให้คาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากการจำหน่ายบัตรภาพยนตร์ทั้งสิ้น 3,200 ล้านบาท เติบโต 12% จากปีก่อน และเป็นการประมาณการแบบระมัดระวัง
นอกจากนี้ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เข้าฉายจำนวนมาก คาดว่าจะช่วยดันรายได้ค่าโฆษณาและรายได้จากการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มให้เติบโต 21% และ 12% จากปีก่อน ตามลำดับ และเป็นธุรกิจที่ให้มาร์จิ้นสูงประมาณ 87% และ 66% ตามลำดับ ดังนั้น คาดปี 54 บริษัทจะมีรายได้รวมที่ 6,600 ล้านบาท เติบโต 12% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 773 ล้านบาท เติบโต 13% จากปีก่อน
MAJOR ยังมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุน คือ เงินปันผล ซึ่งตั้งแต่ปี 51 บริษัทจ่ายเงินปันผลระดับสูง คิดเป็น Payout ratio ถึงระดับ 90% ของกำไรสุทธิ จากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมี Net D/E ระดับต่ำ บริษัทเปลี่ยนกลยุทธ์มาพัฒนาโรงภาพยนตร์ในปัจจุบัน และกระตุ้นการบริโภคให้มากขึ้น ส่งผลให้การใช้เงินลงทุนลดน้อยลง จึงคาดว่าปี 53 บริษทจะจ่ายปันผล 0.70 บาท/หุ้น และปี 54 อยู่ที่ 0.79 บาท/หุ้น