บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน(HEMRAJ)คาดว่าในปี 54 จะมียอดขายที่ดินขั้นต่ำ 1 พันไร่ และมีโอกาสที่จะเห็นยอดขาย 1.2-1.4 พันไร่ จากสิ้นปี 53 ที่น่าจะทำได้ 1 พันไร่ เนื่องจากช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายที่ดินแล้ว 721 ไร่ และอยู่ระหว่างเจรจาอีกกว่า 200 ไร่ ทำให้คาดว่ารายได้ในปีนี้ยังคงโตได้ตามเป้าหมายที่ 80%
นายเผ่าพิทยา สมุทรกลิน ผู้อำนวยการนักลงทุนสัมพันธ์และวางแผน HEMRAJ กล่าวว่า รายได้ในปี 53 จะเติบโตตามเป้าหมาย 80% จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากทุกธุรกิจของบริษัท ทั้งในส่วนของนิคมอุตสาหกรรม บริการสาธารณูปโภค และอสังหาริมทรัพย์
ในปีนี้คาดว่ายอดขายที่ดินจะเป็นไปตามเป้าหมาย 1 พันไร่ หลังจาก 9 เดือนแรกทำยอดขายที่ดินได้แล้วกว่า 721 ไร่ ขณะที่มูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 1,575 ไร่ ลูกค้าหลักในปีนี้เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ถึง 34% และในปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าที่กำลังเจรจาอยู่อีกกว่า 200 ไร่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ เชื่อว่าจะช่วยผลักดันยอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย
ส่วนในปี 54 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเบื้องต้นไว้ที่ 1 พันไร่เป็นอย่างต่ำ และคาดว่าจะทำได้สูงถึง 1.2-1.4 พันไร่
"ยอดขายทีดินปีนี้เราตั้งไว้ที่ 800 ไร่ แต่ช่วงกลางปีปรับเพิ่มเป็น 1 พันไร่ โดยหลัก ๆ ยอดขายปีนี้มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งปีนี้มีทั้งซูซูกิและฟอร์ดที่มาสร้างโรงงานใหม่ ส่วนปีหน้าคาดไว้ที่ 1 พันไร่ก่อน และกลางปีคงมีการมาปรับอีกที มองว่าในปีหน้าอุตสาหกรรมยานยนต์ยังดีอยู่ ภาพรวมเศรษฐกิจและการเมืองยังดี"นายเผ่าพิทยา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 54 เพิ่มเป็น 4-6 พันล้านบาท จากปีนี้ที่ใช้เงินลงทุนไป 4.6 พันล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะใช้ในการลงทุนในโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ประมาณ 1.4-1.5 พันล้านบาท คาดว่าภายในไตรมาส 1/54 จะยื่นขอ HIA แต่การก่อสร้างอาจจะล่าช้าออกไปประมาณ 2 เดือน จากเดิมจะก่อสร้างได้ในเดือน พ.ย.54 แต่ขณะนี้คาดว่าน่าจะก่อสร้างได้ในเดือน ก.พ.55
นอกจากนั้น จะใช้เงินลงทุนในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอีก 800 ล้านบาท และก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูป 300 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีหลายบริษัทให้ความสนใจ โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก ส่วนเงินที่เหลือจะใชในการพัฒนาระบบบริการสาธารณูปโภค และขยายการผลิตน้ำประปา ซึ่งปัจจุบันผลิตได้ที่ 1.8 แสน ลบ.ม./วัน ภายในอีก 3 ปี คาดว่าจะขยายอีก 1 เท่าตัวเป็น 3.6 แสน ลบ.ม./วัน คาดว่าจะใช้งบลงทุน 450 ล้านบาท
นายเผ่าพิทยา กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีเงินสดในมือ 3.2 พันล้านบาท และในปีหน้ามั่นใจว่าโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ พาร์ค ชิดลมจะขายได้หมด ซึ่งจะมีเงินเข้ามา 1.2 พันล้านบาท ทำให้เงินสดในมือมีเพิ่มขึ้นและไม่จำเป็นต้องกู้
และในปีหน้าบริษัทคาดว่าจะเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์อีก 2 โครงการ ขณะนี้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการแล้ว 1 โครงการ เป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ระดับไฮเอนด์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่พระราม 3 จำนวน 35 ยูนิต ขณะนี้อยู่ในช่วงของการประกวดราคาแบบก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปีหน้า ใช้เวลา 18 เดือน
ส่วนอีก 1 โครงการอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาเลือกว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณอีสเทิร์นซีบอร์ด หรือ พัฒนาที่ดินบนถนนรามคำแหง ซึ่งอาจจะสร้างเป็นคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงานให้เช่า หรือเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีหน้า
นายเผ่าพิทยา กล่าวอีกว่า ภายในสิ้นปีนี้บริษัทคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการเข้าไปลงทุนในโครงกาโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง จากปัจจุบันที่บริษัทพิจารณาอยู่ 4-5 โครงการ โดยจะเลือกโครงการที่มีศักยภาพมากที่สุด ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนในจ.ระยอง ในพื้นที่ 1 ใน 4 นิคมอุตสาหกรรมของบริษัทที่มีลูกค้ามาซื้อที่ดินไปแล้ว ระหว่างนี้กำลังศึกษากำไรและผลตอบแทนต่าง ๆ
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมภายใน 2-3 ปีข้างหน้า แต่ก็ต้องขึ้นกับคณะกรรมการพิจารณาด้วยที่จะพิจารณาโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่ดี โดยบริษัทจะเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 25-30% คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300-400 ล้านบาท/โครงการ