ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (23 พ.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี หลังจากเกาหลีเหนือได้ระดมยิงกระสุนปืนใหญ่หลายร้อยลูเข้าใส่เกาะยอนเปียงใกล้ชายแดนที่ติดกับเกาหลีใต้ เพื่อตอบโต้การซ้อมรบของเกาหลีใต้ นอกจากนี้ ตลาดยังคงถูกกดดันจากรายงานยอดขายบ้านมือสองที่ร่วงเกินคาดในเดือนต.ค. และความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 142.21 จุด หรือ 1.27% ปิดที่ 11,036.37 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 17.11 จุด หรือ 1.43% ปิดที่ 1,180.73 จุด และดัชนี Nasdaq ลดง 37.07 จุด หรือ 1.46% ปิดที่ 2,494.95 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 4 ต่อ 1
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างหนักเนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกกับข่าวที่ว่าเกาหลีเหนือได้ระดมยิงกระสุนปืนใหญ่หลายร้อยลูเข้าใส่เกาะยอนเปียงใกล้ชายแดนติดกับเกาหลีใต้ เพื่อตอบโต้การซ้อมรบของเกาหลีใต้ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคน และยังฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลง เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่าปัญหาความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีอาจนำไปสู่สงครามในที่สุด
กระทรวงการคลังเกาหลีใต้แถลงเมื่อวานนี้ว่า คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจของเกาหลีใต้จะจัดการประชุมฉุกเฉินในเช้าวันนี้ (24 พ.ย.) ในเวลา 05.30 น.ตามเวลาไทย เพื่อประเมินผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจ โดยผู้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้รวมถึงรมช.คลัง รองผู้ว่าการธนาคารกลางเกาหลีใต้ และรองประธานคณะกรรมการบริการการเงิน
ตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกกดดันมากขึ้นเมื่อสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค.ร่วงลง 2.2% มาอยู่ที่ระดับ 4.43 ล้านหลัง/ปี จากเดือนก.ย.ที่ระดับ 4.53 ล้านหลัง ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.49 ล้านหลัง โดยตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงซบเซา
นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับปัจจัยลบจากกระแสความวิตกกังวลที่ว่าปัญหาหนี้ของไอร์แลนด์อาจลุกลามไปทั่วยุโรป โดยมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่า มูดีส์อาจลดอันดับความน่าเชื่อถือไอร์แลนด์มากกว่าที่เคยประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ เพราะการที่ไอร์แลนด์รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) อาจส่งผลให้ตัวเลขหนี้สาธารณะของไอร์แลนด์เพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดว่าวงเงินที่ไอร์แลนด์จะได้รับในครั้งนี้อาจสูงถึง 9.5 หมื่นล้านยูโร (1.30 แสนล้านดอลลาร์) ซึ่งจะยิ่งทำให้หนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นด้วย
ความวิตกกังวลเรื่องความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีและปัญหาหนี้ยุโรปได้บดบังปัจจัยบวกจากการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับเพิ่มการประมาณการตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ครั้งที่ 2 เป็นขยายตัว 2.5% ต่อปี จากการประมาณการครั้งแรกที่ระดับ 2.0% ต่อปี และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัว 2.4% เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดการส่งออก ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค และตัวเลขการใช้จ่ายภาคเอกชน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้ปัจจัยบวกในระหว่างวัน จากรายงานผลสำรวจของสมาพันธ์ผู้บริโภคอเมริกาที่ระบุว่า ผู้บริโภคชาวสหรัฐส่วนใหญ่มีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น และมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายในช่วงวันหยุดยาวของปีนี้มากกว่าปีก่อน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนเชื่อว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นร้อยละ 70 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐนั้น จะเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุดปีนี้ รวมถึงวันขอบคุณพระเจ้า และวันคริสต์มาส
หุ้นฮิวเล็ตต์-แพ็คการ์ด (เอชพี) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่สุดของโลก พุ่งขึ้น 2.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่ามีมีกำไรสุทธิรายไตรมาส 2.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยหุ้นเชฟรอนปิดร่วง 2% หุ้นเอ็กซอนโมบิลปิดลบ 1.7% ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินยังคงถูกกระหน่ำขายหลังจากมีรายงานว่าสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) รุดเข้าตรวจสอบสำนักงานของวาณิชธนกิจ 3 แห่งของสหรัฐ เพื่อค้นหาเอกสารที่จะเป็นหลักฐานว่ามีการซื้อขายแบบใช้ข้อมูลวงใน โดยข่าวดังกล่าวฉุดหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 2.3% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปิดร่วง 2%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่ทางการสหรัฐจะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค., รายได้ส่วนบุคคลเดือนต.ค.และยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค. และกระทรวงแรงงานจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ วันพฤหัสบดี ตลาดหุ้นและตลาดการเงินของสหรัฐปิดทำการเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า ส่วนวันศุกร์ ไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ