นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์(TOP) คาดว่า รายได้ของบริษัทมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก 4-5 พันล้านบาท/ปีหากมีการปรับสูตรราคาก๊าซในประเทศใกล้เคียงกับราคาตลาดโลก เพราะจะทำให้ค่าการกลั่นขยับดีขึ้นอีก 0.50-1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากที่คาดว่าค่าการกลั่น (GRM)ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 4-5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และค่าการกลั่นเฉลี่ยรวม (GIM)อยู่ที่ประมาณ 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่าจะเห็นชอบการปรับสูตรราคาก๊าซหุงต้มหน้าโรงกลั่นให้สะท้อนราคาตลาดโลกและอิงกับราคาตะวันออกกลางอย่างไร จากขณะนี้สูตรราคาในประเทศกำหนดให้ไม่เกิน 330 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่งผลทำให้การจำหน่ายแอลพีจีขาดทุน
ดังนั้น โรงกลั่นฯหลายแห่งจึงไม่นำก๊าซมาจำหน่ายในตลาด โดยนำไปขายแก่โรงงานอุตสาหกรรม โรงงานปิโตรเคมี และนำไปเป็นเชื้อเพลิง แต่ที่ผ่านมาไทยออยล์นำแอลพีจีที่ผลิตได้มาจำหน่ายในตลาดทั้งหมด ปริมาณ 1.6-1.8 หมื่นตัน/เดือน หากมีการปรับสูตรราคาก็จะป็นการจูงใจให้โรงกลั่นฯ หันมาขายแอลพีจีในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าแอลพีจีได้มากขึ้น ขณะที่รัฐบาลก็จะได้รายได้จากการที่โรงกลั่นน้ำมันจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาแอลพีจี ตลาดตะวันออกกลาง เดือน พ.ย.อยู่ที่ 782 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้นจากจากเดือน ต.ค.อยู่ที่ 82 เหรียญสหรัฐ/ตัน และสูงกว่าราคาหน้าโรงกลั่นของไทยถึง 452 เหรียญสหรัฐ/ตัน
นายสุรงค์ เปิดเผยอีกว่า ในไตรมาส 3/53 บริษัทมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน(Stock Gain) รวมถึงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เกินกว่า 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะเงินบาทแข็งค่าทำให้เงินกู้ที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง