โบรกฯเชียร์"ซื้อ"BIGC ปรับเป้าราคา มองกำไรโตดีระยะยาวหลังซื้อคาร์ฟูร์

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 25, 2010 14:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC)หลังเข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ มูลค่า 3.55 หมื่นล้านบาท แต่จะทำให้บริษัทได้ประโยชน์ในระยะยาวทั้งด้านยอดขายกำไร และการเพิ่มอำนาจต่อรองกับผู้ผลิต รวมทั้ง ทำให้ BIGC มีจำนวนสาขาในเขตกรุงเทพเพิ่มขึ้นเป็น 49 สาขา จาก 26 สาขา เหนือกว่าเทสโก้ที่มี 36 สาขา ขณะที่การขยายสาขามีข้อจำกัดจาก กม.ผังเมือง และกม.ค้าปลีก

ดังนั้น โบรกเกอร์จึงได้มีการปรับประมาณการยอดขายกำไรสุทธิ และปรับราคาเหมาะสมในปี 54 ที่คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตเป็น 3.4-3.5 พันล้านบาท จากปี 53 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2.96 พันล้านบาท

          โบรกเกอร์        คำแนะนำ        ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.ฟิลลิป          ซื้อ              104.00
          บล.ซิกโก้          ซื้อ               91.00
          บล.เคจีไอ         ซื้อ               87.00
          บล.กสิกรไทย       ซื้อ               84.50
          บล.กิมเอ็ง         ซื้อ               82.00
          บล.ธนชาต         ซื้อ            (กำลังประเมิน)

นางสาวนารี อภิเศวตกานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า จากการที่ BIGC เช้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ คาดว่าจะทำให้อัตราการเติบโตของกำไรในระยะยาวจะดีขึ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิในช่วง 6 ปีข้างหน้า(ปี 54-59)จะเติบโตเฉลี่ย 14% จากปี 53 คาดมีกำไรสุทธิ 2,960 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,398 ล้านบาทในปี 54

"เราปรับราคาเหมาะสมเป็น 104 บาท รวมประมาณการคาร์ฟูร์เข้ามา เรามองแนวโน้มระยะยาว และจะเห็นว่าปีที่ 3 จะเห็นได้ชัดเจนรายได้กำไร แต่ในช่วง 1-2 ปีเป็นช่วงปรับปรุง"นางสาวนารี กล่าว

ด้านนางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า จากการที่ BIGC เช้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ จะส่งผลดีในระยะยาวทั้งความสามารถในการทำกำไร การต่อรองกับซัพพลายเออร์ที่จะได้ส่วนลดเพิ่มขึ้น เมื่อสาขาของคารฟูร์ที่อยู่ในกรุงเทพชั้นในมาก ทำให้สาขา BIGC ขยายได้ทันที เพราะการขยายสาขาในปัจจุบันติดปัญหาเรื่องกฎหมายผังเมืองซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญในการขยายสาขา

แม้ว่าราคาที่เข้าซื้ออาจจะสูง แต่ในระยะยาวจะส่งผลดีต่อ BIGC บริษัทเน้นถึงประโยชน์จากการซื้อคาร์ฟูร์ 42 สาขา ซึ่งจะทำให้สาขาในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มจาก 69 เป็น 103 สาขา โดยสาขาในกรุงเทพฯ จะเพิ่มจาก 27 เป็น 49 สาขา (เทียบกับเทสโก้ที่มี 36 สาขา) สาขาที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กันมีเพียง 5 สาขา แต่บริษัทเชื่อว่ายอดขายจะไม่กระทบกันเอง

และคาดว่าในปี 54 รายได้รวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 120,809 ล้านบาท และกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 3,533 ล้านบาท (4.41 บาท/หุ้น) หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 3% จากประมาณการเดิม จึงปรับราคาเหมาะสมอิง DCF ปรับขึ้นเป็น 82 บาท จากเติมราคาเหมาะสมที่ 70 บาทที่เต็มมูลค่า

บล.ซิกโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การเข้าซื้อกิจการของคาร์ฟูร์ เป็นผลให้ BIGC ก้าวเป็นผู้นำตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ตในเขตกุรงเทพฯและปริมณฑล โดยจำนวนสาขาของคาร์ฟูร์ที่มี 22 สาขารวมกับของ BIGC ที่มี 27 สาขา จะสูงกว่าคู่แข่งรายใหญ่อย่าง เทสโก้โลตัส ที่มีสาขาเฉพาะในเขตกุรงเทพฯและปริมณฑลที่ 36 สาขา

ขณะที่จะเปรียบเทียบจำนวนสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมด ซึ่งคาร์ฟูร์มีอยู่เท่ากับ 34 สาขา และ BIGC ที่มี 69 สาขา จะเป็นผลให้ BIGC เกิดความสามารถในการแข่งขันกับเทสโก้โลตัสได้มากขึ้น เพราะ BIGC จะมีสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมดอยู่ที่ 103 สาขา ส่วนเทสโก้โลตัสจะมีสาขาอยู่ที่ 116 สาขา

นอกจากนี้ หากรวมสาขาที่เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตของคาร์ฟูร์ 8 สาขา กับสาขา Small Format ของ BIGC จะทำให้มีสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ต 113 สาขา อย่างไรก็ดี BIGC คงแผนเปิดสาขาใหม่ในปี 54 อีก 2 สาขา และจะยังขยายสาขาที่ 4-5 สาขาต่อปี

ทั้งนี้ มองว่า การเร่งขยายสาขาของ BIGC เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในอนาคตเมื่อเกิด พรบ. ค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งจะทำให้การขยายสาขาเป็นไปได้ยากขึ้น รวมถึงการมีจำนวนสาขาที่มากขึ้น จะช่วยเพิ่มอำนาจในการต่อรองราคากับ Supplier และการเป็นผู้กำหนดราคาขายในตลาดได้มากขึ้น

ดังนั้น จึงปรับประมาณการณ์ราคาเหมาะสม ในปี 54 หลังเข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์อยู่ที่ 91.00 บาท โดยอิง Prospective PER ของอุตสาหกรรมที่ 22 เท่า โดยมองว่าการรวมสาขาคาร์ฟูร์เข้ามา จะทำให้รายได้และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เนื่องจากอำนาจในการต่อรองราคา และความเป็นผู้นำด้านราคามีมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ