นางสาวสุนันท์ เลิศสีทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บมจ. ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น (SYMC) มั่นใจว่าหุ้น SYMC หลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ICT) ในวันที่ 26 พ.ย.53 จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน และยืนเหนือราคาจองได้อย่างแน่นอน
เห็นได้จากการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 72 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 17-19 พ.ย.53 ที่ผ่านมา ที่กำหนดราคาเสนอขายที่ 8.80 บาท/หุ้น มียอดจองซื้อเกินจำนวนหุ้นที่จัดสรรอีกเป็นจำนวนมาก และยังจองซื้อหมดทั้งจำนวนภายในวันแรกที่เปิดให้จองซื้อหุ้น ทำให้มั่นใจว่าจะมีนักลงทุนบางส่วนที่พลาดจากการจองซื้อหุ้น IPO ดังกล่าวตามเข้ามาซื้อหุ้นในกระดานด้วย ซึ่งจะสนับสนุนให้การซื้อขายเกิดขึ้นอย่างคึกคัก
"หลังจากที่ได้ทำ Book building กับนักลงทุนสถาบัน ก็พบว่าได้รับความสนใจอย่างสูงจากนักลงทุนกลุ่มดังกล่าว โดยแสดงความต้องการผ่านการ Book building ล้นกว่า 6 เท่า จากสัดส่วนของสถาบัน แถมในวันเปิดจองหุ้นให้กับนักลงทุนทั่วไปกระแสตอบรับยิ่งหนาแน่นมีการจองซื้อหมดทั้ง 72 ล้านหุ้นภายในวันแรกที่เปิดให้จอง ซึ่งถือว่ากระแสตอบรับจากนักลงทุนออกมาดีมากจนยอดจองเกินจำนวนหุ้นที่จัดสรรอีกเป็นจำนวนมาก" นางสาวสุนันท์ กล่าว
การระดมทุนของ SYMC ในครั้งนี้จะนำไปใช้ลงทุนในธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการมีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่องในอนาคต
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนขณะนี้จะไม่กระทบการซื้อขายหุ้น SYMC เนื่องจากนักลงทุนมองที่พื้นฐานบริษัทเป็นหลัก ประกอบกับบริษัทให้ส่วนลด 15-20% ส่วนผู้ถือหุ้นจะติดไซเลนซ์ พีเรียด 100% ช่วง 3 เดือนแรก และ 3 เดือนต่อมา ติด 50% และ 6 เดือนต่อมาจากติดไซเลนซ์พีเรียดตามปกติ ที่สามารถขายหุ้นออกได้ 25% ส่วนพนักงานบริษัทที่ได้รับการจัดสรรหุ้นจะติดไซเลนซ์พีเรียด 1 ปี หลังจากนั้นจึงจะขายหุ้นออกได้ 50%
นายกรัณย์พล อัศวสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ SYMC กล่าวว่า มั่นใจว่าหุ้น IPO ของ SYMC จะได้รับตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน เพราะบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง อัตราหนี้สิน/ทุน เพียง 0.3 เท่า ในขณะที่ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี และธุรกิจมีทิศทางการเติบโตชัดเจน เป็นบริษัทฯ ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 70% และมีอัตรากำไรสุทธิสูงกว่า 30-35% ในช่วง 1-3 ปีที่ผ่านมา จากธรรมชาติของธุรกิจที่การลงทุนใหญ่เพียงครั้งเดียวในเรื่องของโครงข่ายสายเคเบิ้ล และหากมีลูกค้าเพิ่มขึ้นมาก จะทำให้ต้นทุนลดต่ำลงต่อเนื่องสะท้อนให้กำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิยิ่งเติบโตอย่างโดดเด่นดังกล่าว
ส่วนแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในครึ่งปียังมีทิศทางที่ดี โดยคาดว่ายังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของบริษัทในปี 54 คาดว่าจะมีรายได้เติบโตอย่างน้อย 15%