บมจ.เอ.เจ.พลาสท์(AJ)ผู้ผลิตแผ่นฟิล์มจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนลงทุน 1.9 พันล้านบาทในช่วงปี 54-55 เพื่อขยายกำลังผลิตเพิ่มอีก 79% เพื่อรองรับการเติบโตของความต้องการแผ่นฟิล์ม เนื่องจากในปีนี้เกิดภาวะซัพพลายขาด ซึ่งทำให้รายได้ของบริษัทในปี 53 เติบโตขึ้นถึง 30% จากปีก่อน
นายกิตติภัต สุทธิสัมพัทน์ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ AJ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 1/54 บริษัทจะขยายกำลังการผลิต BOPA เพิ่มเป็น 1.8 หมื่นตัน/ปี จาก 8 พันตัน/ปี ใช้เงินลงทุน 500 ล้านบาท, ช่วงไตรมาส 4/54 ขยายกำลังการผลิต BOPET เป็น 6.2 หมื่นตัน/ปี จาก 3.1 หมื่นตัน/ปี ใช้เงิน 700 ล้านบาท และ ไตรมาส 4/55 ขยายกำลังการผลิต BOPP เพิ่มเป็น 1.08 แสนตัน/ปี จาก 6.6 หมื่นตัน/ปี ใช้เงิน 700 ล้านบาท
ทั้งนี้ แผนขยายการผลิตจะทำให้ภาพรวมในปี 55 กำลังการผลิตของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 79% หรือมีกำลังผลิตรวม 1.88 แสนตัน/ปี จากปัจจุบัน 1.05 แสนตัน/ปี
ขณะนี้บริษัทได้มีการกู้เงินเพื่อรองรับแผนขยายกำลังการผลิตไว้แล้ว และบริษัทจะออกใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ (TSR) 39,944,495 หน่วยจัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิม 9 หุ้นเดิม ต่อ 1 TSR เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนด้วย ซึ่งเป็นการทยอยลงทุนใน 3 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะสามารถกำหนดราคาใช้สิทธิ TSR ได้ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่ 23 ธ.ค.นี้
นายกิตติภัต กล่าวว่า ในปีนี้คาดว่ายอดรายได้จะเติบโตราว 30% จากการที่ความต้องการแผ่นฟิล์มในตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและซัพพลายขาดแคลน เนื่องจากผู้ผลิตเครื่องจักรมีเพียง 2 รายซึ่งอยู่ในยุโรป
ทั้งนี้ แนวโน้มในไตรมาส 4/53 ผลประกอบการยังดีต่อเนื่อง โดยส่วนต่างของราคา(สเปรด) BOPP เชื่อว่าจะสูงขึ้นเป็น 650-700 เหรียญ/ตัน จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 550-600 เหรียญ/ตัน ส่วน BOPET คาดว่าสเปรดจะทรงตัวในระดับสูงที่ 2.9-3.0 พันเหรียญ/ตัน ขณะที่สเปรด BOPA จะปรับขึ้นไปที่ 1.5-2.0 พันเหรียญ/ตัน
"BOPET มีกำไรสูง แต่เราทำแผ่นฟิล์มทั้ง 3 ชนิดคือ BOPP และ BOPA ด้วย ก็จะช่วยกระจายความเสี่ยง และเราเชื่อว่าในปี 2012 เราจะเป็น lowest cost producer ซึ่งเชื่อว่าเราจะเติบโตต่อเนื่องและโตอย่างยั่งยืน"นายกิตติภัต กล่าว