นายอนันต์ เล้าหเรณู กรรมการ บมจ.ลานนารีซอร์สเซส(LANNA)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า เตรียมงบฯปี 54 ไว้สำหรับซื้อเหมืองใหม่ 150-200 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนเหมืองละไม่ต่ำกว่า 50-60 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะใช้ซื้อเหมือง รวมไปถึงการพัฒนาจนกระทั่งนำถ่านหินออกขาย โดยเน้นพื้นที่ในประเทศอินโดนีเซียเป็นหลัก
ส่วนธุรกิจเอทานอลจะมีการลงทุนลานมันสำปะหลังหลักประมาณ 100 ล้านบาทในปีหน้า
"ถ่านราคาแพงขึ้นคนก็จะขายแพงขึ้น แต่คงจะไม่เสร็จทีเดียวพร้อมกันทั้ง 3 เหมือง เน้นในอินโดโนเซียเพราะใกล้บ้านเรา แถบกลิมันตัน สุมาตรา สุราเวสี เราดูทั้งหมดเป็นเหมืองขนาดกลาง ยังไม่ไปถึงออสเตรเลีย ไม่รู้ว่าปีนี้จะสรุปได้หรือเปล่าเพราะใกล้สิ้นปีแล้ว ถ้าไม่ได้ก็อาจจะต้นปีหน้า"นายอนันต์ กล่าว
แหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้นั้น บริษัทมีวงเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นแล้ว 1,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้เจรจาวงเงินระยะยาวในกรณีลงทุนขนาดใหญ่ แต่เชื่อว่าคงไม่ต้องออกหุ้นกู้และไม่มีนโยบาย เพราะสามารถใช้เงินจากกำไรสะสมได้ เนื่องจากบริษัทมีเงินปันผลจากเหมือง 1-2 ทุกไตรมาส และธุรกิจเทรดดิ้งถ่านหินที่อยุธยาฯปีนี้คาดการณ์ปริมาณขาย 6-7 แสนตัน เชื่อว่าจะมีกำไร
ปัจจุบันมี บริษัทมีปริมาณสำรองถ่านหินอีก 40 ล้านตัน หากใช้กำลังการผลิตเต็มที่ก็คงเหลือระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีทำให้ต้นมองหาซื้อเหมืองเพิ่มเติม
นายอนันต์ กล่าวว่า ในปี 54 บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านตัน จากที่คาดว่าจะมีปริมาณขายในปีนี้มากกว่า4 ล้านตัน โดยถ่านหินที่ขายในปีนี้มาจากเหมืองของบริษัทเองประมาณ 3.5 ล้านตัน ส่วนอีกกว่า 5 แสนตัน เป็นการนำเข้าถ่านหินมาจำหน่าย
สำหรับปี 53 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 7 พันกว่าล้านบาท โดยงวด 9 เดือนมีรายได้แล้ว 6.5 พันล้านบาท และคาดว่าราคาถ่านในไตรมาส 4/53 จะอยู่ที่ประมาณกว่า 60 เหรียญฯ/ตัน ไม่ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของช่วงที่ผ่านมา เพราะความต้องการยังมีค่อนข้างมาก แต่ราคาเฉลี่ยทั้งปีอาจจะไม่สูงกว่า 60 เหรียญฯ/ตัน
ในแง่กำไรสุทธิปีนี้ก็ไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไร 655 ล้านบาทหรือน่าจะสูงกว่าเล็กน้อย เพราะถ่านหินกำไรดีกว่าปีก่อนเกือบ 100% แต่ยังมีผลขาดทุนจากธุรกิจเอทานอลเป็นตัวถ่วง อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าการจ่ายเงินปันผลในงวดปี 53 ไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อนเช่นกัน
"ไตรมาส 4 ปกติการขายไม่ค่อยดีไม่น่าจะมากกว่าไตรมาส 3 เพราะมีฝน แต่ไม่น่าต่ำกว่างวดเดียวกันปีก่อน โดยรวมกำไรน่าจะสูงกว่าปีก่อนคงไม่มากเพราะไตรมาส 4 ส่วนใหญ่มีฝนทางอินโดฯ กำไรจะไม่ค่อยดี โดยรวมทั้งปีกำไรไม่ต่ำกว่าปี 52 แต่ไม่มากเพราะถูกเอทานอลที่ขาดทุนฉุดไป แต่การจ่ายปันผลไม่น่าจะต่ำกว่าปี 52"นายอนันต์ กล่าว
ส่วนกรณีของ บมจ.ไทยอะโกร เอ็นเนอร์ยี่(TAE)ที่ได้ยกเลิกการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว เพราะขาดคุณสมบัติเนื่องจากยังประสบกับภาวะขาดทุน จึงหันมาเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมแทน โดยคาดจะเรียกเพิ่มทุนประมาณเดือนธ.ค.นี้ เพื่อสร้างโรงงานให้แล้วเสร็จ
ทั้งนี้ TAE เพิ่มทุนอีก 200 ล้านหุ้น แนวโน้มราคาขายหุ้นคงไม่ต่ำกว่า BV ตอนนี้ 1.25 บาท/หุ้น หรืออาจจะขายที่ราคา 1-1.25 บาท/หุ้น คาดได้เงินประมาณ 200-250 ล้านบาท เม็ดเงินก็จะเข้ามาในเดือน ธ.ค.53 เชื่อผู้ถือหุ้นคงใส่เงินเพิ่มทุนครบเพื่อรักษาสัดส่วน โดย LANNA ก็จะรักษาสัดส่วนถือหุ้นที่ 75% ส่วนการขาย IPO นั้นหากในอนาคตมีโครงการใหม่เราก็พร้อมจะพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง