ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (29 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่าปัญหาหนี้สาธารณะอาจลุกลามไปทั่วยุโรป รวมถึงสเปนและโปรตุเกส แม้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) อนุมัตวงเงินกู้ฉุกเฉินให้กับไอร์แลนด์ก็ตาม อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยเนื่องจากตลาดได้แรงหนุนจากรายงานของสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐ (NRF) ที่ระบุว่า ชาวอเมริกันออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 39.51 จุด หรือ 0.36% แตะที่ 11,052.49 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.64 จุด หรือ 0.14% ปิดที่ 1,187.76 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 9.34 จุด หรือ 0.37% ปิดที่ 2,525.22 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า ปัญหาหนี้สาธารณะอาจลุกลามไปยังประเทศต่างๆในยุโรป รวมถึงสเปสและโปรตุเกส แม้ไอเอ็มเอฟและอียูอนุมัตวงเงินกู้ฉุกเฉินมูลค่า 8.5 หมื่นล้านยูโร (1.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้กับไอร์แลนด์
แม้การให้ความช่วยเหลือไอร์แลนด์ในครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้วิกฤตการณ์การเงินลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในกลุ่มยูโรโซน รวมถึงโปรตุเกส และเพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นที่มีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในยูโรโซน แต่นักลงทุนยังคงวิตกกังวลรัฐบาลไอร์แลนด์อาจไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของไอเอ็มเอฟและอียูที่กำหนดให้ไอร์แลนด์ใช้มาตรการรัดเข็มขัดระยะ 4 ปี วงเงิน 1.5 หมื่นล้านยูโร (2.0 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งรวมถึงการลดงบประมาณด้านสวัสดิการสังคม 2.8 พันล้านยูโร ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อประชาชนไอร์แลนด์ทุกคน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานของ NRF ที่ระบุว่า จำนวนประชาชนที่ออกมาใช้จ่ายในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 8.7% แตะ 212 ล้านคน และมีการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อคนที่ 365.34 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน
NRF ประเมินว่า ยอดการใช้จ่ายของประชนในช่วงแบล็ค ฟรายเดย์ หรือวันเริ่มต้นของฤดูการจับจ่าย มีมูลค่าสูงถึง 4.5 หมื่นล้าน ซึ่งเทศกาลดังกล่าวถือเป็นความหวังของร้านค้าปลีกในการทำยอดขายก่อนสิ้นปี เนื่องจากผู้บริโภคจะออกมาเลือกซื้อสินค้ากันอย่างคึกคัก
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโกที่ระบุว่า ดัชนีการผลิตเขตมิดเวสต์ ปรับตัวสูงขึ้นในเดือนต.ค. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวของภาคการผลิต
หุ้น Amazon.com ปิดพุ่ง 1.3% เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่า ผู้บริโภคจะสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้นในช่วง "Cyber Monday" ซึ่งเป็นวันที่ผู้ค้าปลีกออนไลน์จะเสนอขายสินค้าราคาพิเศษเพื่อดึงดูลูกค้า ขณะที่หุ้นวอล-มาร์ทปิดบวก 0.2% หลังจากบริษัทตกลงเข้าซื้อหุ้น 51% ในแมสมาร์ท ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกของแอฟริกาใต้ มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้นแข็งแกร่งสุด จากการที่นักลงทุนเชื่อมั่นว่า ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรปแค่ในวงจำกัดเท่านั้น โดยหุ้นธนาคารเวล์ส ฟาร์โก ปิดพุ่ง 2% หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ปิดบวก 1.7% และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ปิดบวก 1.7%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์กซิตี้เดือนพ.ย. สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์จะเปิดเผยราคาบ้านเดือนก.ย. สมาคมผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อแห่งชาติ (NAPM) จะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ชิคาโกเดือนพ.ย. และคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนพ.ย. วันพุธ ADP Employer Services จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานทั่วประเทศเดือนพ.ย. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนต.ค. ISM จะเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย. และธนาคารกลางสหรัฐจะเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเปิดเผยยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค.
ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนต.ค. และ ISM จะเปิดเผยดัชนีภาคบริการและดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจเดือนพ.ย.