นายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ดุสิตธานี (DTC) คาดว่าผลประกอบการปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไรได้ หลังจากบริษัทรับรู้กำไรจากการขายโรงแรม 3 แห่ง เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช้าดุสิตธานี(DTCTF) และ ขายกิจการโรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง ในไตรมาส 4 เช่นดียวกัน
ทั้งนี้ DTC ประกาศ งวด 9 เดือนปี 53 มีผลขาดทุน 208.8 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4/53 คาดว่าผลประกอบการจะดีกว่าไตรมาส 3/53 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นและสถานการณ์การเมืองนิ่ง โดยอัตราเข้าพักเพิ่มขึ้น โดยในกรุงเทพเพิ่มมาเป็น 60% จากช่วงไตรมาส 2-3/53 มีอัตราเข้าพัก 10% แต่ก็ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติที่มีอัตราเข้าพัก 70-80% ส่วนโรงแรมในภูแก็ต อัตราเข้าพักดีมาก และในเชียงใหม่อัตราเข้าพักดีขึ้น หลังเข้าฤดูหนาว
"ไตรมาส 1 เรากำไรดีมาก พอไตรมาส 2-3 เจอการเมือง ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ในไตรมาส 4 จะทำเงินของธุรกิจ ตัวเลขผลประกอบการจะไม่แย่และไม่น่าเกลียด ถ้าการเมืองไม่มีอะไร" นายชนินทธ์ กล่าว
นายชนินทธ์ กล่าวว่า ในปี 54 ตั้งเป้ารายได้รวม เพิ่มขึ้น 15% จากปีนี้หากการเมืองไม่มีปัญหา โดยในปี 53 ยอมรับว่ารายได้ต่ำกว่าปีที่แล้วประมาณ 6-7% จากผลกระทบปัญหาการชุมนุมทางการเมืองในช่วงไตรมาส 2/53 ทำให้รายได้หายไปประมาณ 400 ล้านบาท แต่คาดหวังว่าไตรมาส 4/53 เริ่มฟื้นตัว
"ดูจากเที่ยวบินและที่นั่งที่จะมาประเทศไทยที่รู้ล่วงหน้า จำนวนเที่ยวบินในปีหน้าจะเข้ามาเยอะมาก โดยเฉพาะภูเก็ต เพิ่มขึ้น 20% เป็นเหตุผลที่มั่นใจว่าการท่องเที่ยวปี 54 จะโตดีมากถ้าไม่มีปัญหาการเมือง"นายชนินทธ์ กล่าว
นอกจากนี้ ในปี 54 บริษัทมีแผนจะซื้อโรงแรมในประเทศ 1-2 แห่ง รวมทั้งจะรับบริหารกิจการโรงแรม ส่วนในต่างประเทศ ก็มีแผนจะเข้าซื้อกิจการ 1-2 แห่ง ซึ่งจะเน้นประเทศความเสี่ยงน้อยกว่าไทย โดยมองที่ประเทศออสเตรเลีย และในยุโรป
"ในยุโรป ธุรกิจประสบปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้มีโอกาสเข้าซื้อกิจการได้ และค่าเงินยูโรค่อนข้างถูก แต่ที่ออสเตรเลียอาจจะยาก เพราะเศรษฐกิจดี และค่าเงินแข็งแรง ช่วงนี้เป็๋นช่วงที่เงินบาทแข็งค่า ก็เป็นจังหวะที่ดีที่สุดไปซื้อกิจการในต่างประเทศ โดยเฉพาะในตะวันตก"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DTC กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะกระจายธุรกิจไปต่างประทศเพิ่มขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงในประเทศ ประกอบกับการท่องเที่ยวในย่านเอเชียเติบโตมาก ในช่วง 5-10 ปี ซึ่งปัจจุบัน บริษัทรับจ้างบริหารโรงแรมในแถบตะวันออกกลาง 5 แห่ง และในปี 54 จะรับจ้างบริหารเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่ กาตาร์ และ อาบูดาบี แต่บริษัทจะไม่มีนโยบายลงทุนกิจการโรงแรมในตะวันออกกลาง
ส่วนในอินเดีย บริษัทได้ร่วมบริหารโรงแรม โดยเข้าลักษณะ joint Venture ซึ่งมองว่าตลาดอินเดียดีที่สุด โดยค่าห้องพักมีราคาแพงกว่าไทย 5 เท่า
"อยากทำโรงแรมในต่างประเทศมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง และในอนาคต รายได้ในอนาคตรายได้ต่างประทศ ตอนนี้รายได้ต่างประเทศมีสัดส่วน 24% ส่วนในไทย ถึงแม้ธุรกิจโรงแรมจะเติบโตแต่ก็มีโรงแรมใหม่ผุดขึ้นมา ถ้า 2-3 ปีข้างหน้า การเมืองไม่วุ่นวาย เชื่อว่าการท่องเที่ยวไทยจะดีดกลับมาเร็ว" นายชนินทธ์ กล่าว