นายประเสริฐ มริตนะพร กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มงานบริหาร บมจ.ช.การช่าง(CK)คาดว่า รายได้ของบริษัทในปี 54 จะเติบโตขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่จะทำได้ไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ในปีหน้าก็จะเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 10% จากปีนี้อยู่ที่ 4.5% เนื่องจากงานเก่าที่มีมาร์จิ้นน้อยใกล้หมดลงแล้ว จากนี้จะมีแต่งานใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูงเกิน 10% ขึ้นไป โดยเฉพาะโครงการไซยะบุรี ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ในประเทศลาว มีมาร์จิ้นอยู่ในระดับ 10%
นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีงานรอเซ็นสัญญามูลค่า 9.55 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้งานในมือปีหน้าทะลุ 1 แสนล้านบาทเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา จากสิ้น ก.ย.53 ที่มีงานในมือ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยงานที่รอเซ็นสัญญา ได้แก่ งานก่อสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้าไซยะบุรี 7.6 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเซ็นสัญญาภายในเดือน มี.ค.54 งานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายที่บริษัทชนะประมูล 2 สัญญา รวม 1.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเซ็นได้ในเดือนนี้ โรงไฟฟ้า SPP บางปะอิน 4.8 พันล้านบาท
บริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุนในปีหน้า 1 พันล้านบาท และปี 55 อีก 1.2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงการไซยะบุรีและโรงไฟฟ้า SPP ที่บางปะอิน อย่างไรก็ตาม ใน 1-2 ปีนี้บริษัทคงยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนจดทะเบียน
นายประเสริฐ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะได้ข้อสรุปผลการเจรจาหาผู้ร่วมทุนในโครงการไซยะบุรี โดย CK จะคงถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 30% หรือยังถือหุ้นใหญ่อยู่ จากปัจจุบันถือ 95% สปป.ลาวถือหุ้น 20% บมจ.กฟผ.อินเตอร์ฯ 5% ที่เหลือเป็นบริษัทเอกชนได้ ซึ่งบางรายก็จะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ส่วนการนำบริษัท South East Asia Energy (SEAN) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในโครงการน้ำงึม 2 เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังเชื่อว่าจะดำเนินการได้ในปี 54 โดยในปีหน้านี้จะมีกำไรเข้ามาในปีหน้า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และคาดว่า CK จะลดสัดส่วนการถือหุ้นเหลือไม่ต่ำกว่า 30% จากที่ถืออยู่ 38%
นายประเสริฐ ยังกล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/53 จะมีผลกำไรต่อเนื่องจากไตรมาส 3/53 ที่มีกำไร 173 ล้านบาท แต่ทั้งปี 53 ยังไม่มั่นใจว่าจะมีกำไรหรือไม่ โดยในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีผลขาดทุน 186 ล้านบาท ส่วนในด้านรายได้อยู่ที่ประมาณ 6.1 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มองว่าอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างมีแนวโน้มเติบโตที่ดี โดยเฉพาะภาครัฐมีแผนงานที่จะขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าเพิ่มเติมเป็นจำนวนมาก ซึ่งบริษัทเห็นว่ารัฐบาลควรจะเร่งดำเนินการโครงการเหล่านี้
นอกจากนั้น ในเรื่องของต้นทุนวัสดุก่อสร้างบริษัทกังวลว่าแนวโน้มราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นมา แต่เชื่อว่าคงไม่เร็วเกินไป ซึ่งขณะนี้ราคาเหล็กและราคาปูนขณะนี้ก็ได้ขยับขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็เชื่อว่าคงไม่ได้ปรับขึ้นอย่างหวือหวา และงานภาครัฐก็มีค่า K เข้ามาช่วยได้บางส่วน