บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลการจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาทของ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT)ที่ระดับ“A"พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ“A"เช่นกัน โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง“Stable"หรือ“คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความหลากหลายของธุรกิจที่มีแบรนด์สินค้าและบริการเป็นที่ยอมรับซึ่งช่วยเสริมให้บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาหารบริการด่วน และธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้า นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงการมีคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ การเติบโตของธุรกิจโรงแรมและการบริหารโรงแรมในต่างประเทศ และโอกาสในการขยายธุรกิจอาหารบริการด่วนผ่านแฟรนไชส์ทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อธุรกิจอันเนื่องมาจากความไม่มีเสถียรภาพของการเมืองภายในประเทศ รวมทั้งจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและถูกกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ง่าย ตลอดจนลักษณะการแข่งขันที่รุนแรงและอัตรากำไรที่ต่ำของธุรกิจอาหารบริการด่วนและธุรกิจจัดจำหน่าย
สำหรับหุ้นกู้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมจำนวน 1,000 ล้านบาทที่จะครบกำหนดในวันที่ 8 ธันวาคม 2553 และส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเอาไว้ได้ ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนในการดำเนินธุรกิจ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะดำรงสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการดำเนินงานและลงทุนในโครงการปัจจุบันด้วยกระแสเงินสดบางส่วน การที่บริษัทมีนโยบายในการเติบโตทั้งตามภาวะปกติของธุรกิจและโดยการซื้อกิจการจะเป็นปัจจัยกำหนดระดับภาระหนี้ของบริษัท ทั้งนี้ หากภาระหนี้สินของบริษัทเพิ่มอย่างต่อเนื่องและคงอยู่ในระดับที่สูงก็อาจส่งผลกระทบต่อสถานะเครดิตโดยรวมของบริษัทมากขึ้น
ช่วง 9 เดือนแรกของปี 53 บริษัทมีรายได้ (ไม่รวมเงินปันผลและรายได้อื่น ๆ) 13,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการวมรายได้ของ MINOR เข้ามาทั้งไตรมาส ส่วนธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วนมีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 3% และ 4% ตามลำดับ โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอาหารบริการด่วนซึ่งคิดเป็น 56% รองลงมาเป็นธุรกิจโรงแรม 26% และธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิต 15%
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ของบริษัทอยู่ที่ 14.9% ลดลงจาก 17.42% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากอัตรากำไรที่ต่ำของธุรกิจของ MINOR และอัตรากำไรที่ลดลงของธุรกิจโรงแรม โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 28% ลดลงจาก 30% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างมากจากความไม่สงบทางการเมืองในช่วงไตรมาสที่ 2/53 ซึ่งมีผลทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวในประเทศลดลง ส่งผลให้อุปสงค์ของการท่องเที่ยวลดลงโดยเฉพาะในกลุ่มของนักท่องเที่ยวระดับบน
ในบรรดาโรงแรมของบริษัททั้งหมด โรงแรมภายใต้แบรนด์ Four Seasons ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยสาขาที่อยู่ในกรุงเทพฯ ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวเกือบ 1 เดือน อัตราการเข้าพักของโรงแรมภายใต้แบรนด์ Four Seasons ลดลงมาอยู่ที่ 15% ในไตรมาสที่ 2/53 เทียบกับ 35.7% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวที่ดีของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาสที่ 1 และ 3 ส่งผลทำให้อัตราการเข้าพักรวมของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของในช่วง 9 เดือนแรกของปี 53 อยู่ที่ 55% เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยที่ 2% มาอยู่ที่ 4,716 บาทจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง ส่งผลทำให้รายได้ต่อห้องพักไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยอยู่ที่ 2,590 บาทต่อคืน
ในส่วนของธุรกิจอาหารบริการด่วนและธุรกิจจัดจำหน่ายนั้น อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 15% และ 5% ตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานรวมของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/53 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลสูงสุดสำหรับทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม