โบรกฯเห็นพ้องตลาดหุ้นไทยปี 54 ขาขึ้น เชียร์ลงทุนแบงก์-พลังงาน-นิคมฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 8, 2010 15:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เห็นพ้องตลาดหุ้นไทยปีหน้าเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี(H1/54) จากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คลี่คลายในทางที่ดีขึ้น แรงกดดันจากการเมืองไทยน่าจะคลี่คลานและชัดเจนขึ้น จับตาปีหน้าเลือกตั้งใหม่ใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่ก็เชื่อว่าปัจจัยการเมืองน่าจะอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีนี้

นอกจากนี้ เชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนจะยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องในตลาดไทย และตลาดอื่นในแถบเอเชีย แม้ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้ามองว่าจะยังฟื้นตัวที่ไม่แข็งแกร่ง แต่ภาคการส่งออกของไทยในปีหน้า(2554)คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนปัจจัยจากต่างประเทศ เรื่องเศรษฐกิจแถบยุโรปและสหรัฐน่าจะอยู่ในช่วงการฟื้นตัว หรืออยู่ในทิศทางทรงตัว ไม่น่าจะแย่ลงไปกว่าเดิม เนื่องจากปีหน้าทางสหรัฐจะมีมาตรการ QE2 อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ ทางด้านยุโรปก็อยู่ภายใต้การดูแลของ IMF ต่อไป แต่เชื่อว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจคงจะต้องใช้เวลาหลายปี

อย่างไรก็ดี ช่วงครึ่งปีหลัง(H2/54)ตลาดฯอาจกังวลเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกที่อาจจะเป็นขาขึ้น หากเศรษฐกิจของสหรัฐฟื้นตัวได้ตามที่คาดหมายไว้ โดยประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยโลกจะปรับตัวขึ้นได้ในช่วงเดือน ก.ย.54 แต่โดยปกติแล้วตลาดหุ้นทั่วโลกจะอ่อนตัวลงก่อนล่วงหน้า 3-6 เดือน ซึ่งก็จะอยู่ในช่วงประมาณไตรมาส 2/54

สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในปีหน้ามองกลุ่มธนาคารพาณิชย์, น้ำมัน, โรงกลั่น, ปิโตรเคมี, รับเหมาก่อสร้าง, นิคมอุตสาหกรรม, ค้าปลีก และอาจมีจังหวะในการซื้อหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นบางตัว

นอกจากนี้ ปีหน้าคงจะต้อง focus หุ้นแต่ละตัวเป็นหลัก โดยมองหุ้นที่มีโอกาสขยายธุรกิจ และมีเรื่อง M&A เข้ามา อย่างเช่นหุ้น BANPU และ PTTCH เป็นต้น

                             ปี 54 (จุด)        (เท่า)           เติบโต(%)
          บล.ไทยพาณิชย์          1,200           14.0             18.0
          บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย)1,200           13.0             17.0
          บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)   1,220           14.3             14.7
          บล.เอเชีย พลัส         1,182           15.0             14.0
          บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) 1,220           15.0             14.0
          บล.ทิสโก้              1,130           13.6             17.0
          บล.ฟาร์อีสท์            1,200           14.0             15.0

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในครึ่งแรกปีหน้า(H1/54)คงจะยังเป็นขาขึ้นได้ ขณะที่ปัญหาหนี้สินแถบยุโรปยังคงมีต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า ดังนั้น มองว่าเมื่อตลาดฯปรับตัวขึ้นก็อาจจะมีแรงเหวี่ยงได้เหมือนกัน จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน

แต่ในช่วงครึ่งปีหลังยังต้องติดตามดูนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ว่าจะยืดระยะเวลาของมาตรการ QE ออกไปหรือเปล่า ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นประเด็นต่อเนื่องไปถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในปีหน้า(2554)มองหุ้นจำพวก Domestic และ Investment อย่างกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งปีหน้าคงจะต้อง focus ที่ตัวหุ้นแต่ละตัวเป็นหลัก โดยมองหุ้นที่ยังมีโอกาสในการขยายธุรกิจ และมีเรื่อง M&A เข้ามา อย่างเช่นหุ้น BANPU และ PTTCH เป็นต้น

นายเกษม พันธ์รัตนมาลา หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีหน้ามองว่าจะยังเป็นบวกได้ โดยมองว่าปัจจัยการเมืองจะอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีนี้ โดยเฉพาะหลังเลือกตั้งใหม่แล้ว หากพรรคประชาธิปัตย์ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ประเทศไทยก็น่าจะได้รับการจัดอันดับเครดิต(re-rating)ใหม่ ซึ่งมองว่าปีหน้าตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาคก็น่าจะดีได้

ทั้งนี้ กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปี 54 คาดว่าจะมีการเติบโตประมาณ 17% ไม่แพ้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นของประเทศเพื่อนบ้าน แม้ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะยังฟื้นตัวได้ไม่แข็งแกร่งนัก แต่ภาคการส่งออกของไทยยังน่าจะเติบโตได้ 12% ซึ่งเป็นอัตราที่น้อยกว่าปี 53 ที่คาดว่าจะเติบโต 30% แต่ก็ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในปี 54 มองกลุ่มธนาคารพาณิชย์, ปิโตรเคมี, ก่อสร้าง, นิคมอุตสาหกรรม และอาจมีจังหวะในการซื้อหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นบางตัว

ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สำนักวิจัย บล.ทิสโก้ กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 54 ช่วงต้นปียังมีทิศทางเป็นบวกอยู่ จากการลงทุนที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องได้ และเม็ดเงินก็เชื่อว่าจะยังไหลเข้ามา

แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง(H2/54)ตลาดฯอาจจะกังวลเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่อาจเป็นขาขึ้น หากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นไปตามคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ ขณะนี้คาดหมายว่าอัตราดอกเบี้ยโลกจะปรับตัวขึ้นในช่วงเดือน ก.ย.54 แต่โดยปกติแล้วตลาดหุ้นทั่วโลกจะอ่อนตัวลงก่อนล่วงหน้า 3-6 เดือน ซึ่งก็จะอยู่ในช่วงประมาณไตรมาส 2/54

อีกทั้งปีหน้าไทยก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งต้องจับตาดูว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล นอกจากนี้ ตลาดฯปัจจุบันมี upside เหลือไม่เยอะแล้วเมื่อเทียบกับเป้าหมายดัชนี SET ปีหน้าที่ให้ไว้ที่ 1,130 จุด ตอนนี้ก็มีการเทรดที่ P/E ในระดับสูง

อย่างไรก็ดี มองว่าปีหน้าหุ้นที่น่าลงทุนยังเป็นหุ้นในกลุ่มแบงก์ ตอบรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ รวมถึงหุ้นในกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีหน้ายังมีทิศทางของการปรับตัวขึ้นในช่วงต้นปี แต่อาจเห็นการปรับฐานได้ในช่วงกลางปีช่วงไตรมาส 2-3 เนื่องจากคาดว่าปัจจัยการเมืองจะเข้ามามีน้ำหนักต่อตลาดในช่วงปลายไตรมาส 1/54 หรือต้นไตรมาส 2/54

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 4/53 ตลาดฯน่าจะกลับมาอยู่ในทิศทางที่ดีได้ ทั้งนี้ยังคงแนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มน้ำมัน, โรงกลั่น และปิโตรเคมี

ส่วนนายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีหน้าเป็นบวก จากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คลี่คลายในทางที่ดีขึ้น ทั้งแรงกดดันจากการเมืองไทยก็น่าจะมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งปีหน้ารัฐบาลปัจจุบันก็จะอยู่จนครบอายุ

ด้านปัจจัยจากต่างประเทศ ทั้งเศรษฐกิจแถบยุโรปและสหรัฐน่าจะอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวขึ้น หรืออาจมีทิศทางทรงตัว ไม่น่าจะแย่ลงไปกว่าเดิม เนื่องจากปีหน้าทางสหรัฐจะใช้มาตรการ QE2 อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ ทางด้านยุโรปก็อยู่ภายใต้การดูแลของ IMF แต่เชื่อว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจคงจะต้องใช้เวลาหลายปี

สำหรับตลาดบ้านเราแม้ว่าจะยังมองเป็นบวกอยู่ แต่จะเห็นได้ว่าดัชนี SET ในปัจจุบันถ้าเทียบกับเป้าหมายของปีหน้าที่มองดัชนี SET ในระดับ 1,200 จุด ถือว่าเหลือ upside ไม่มากแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อาจะมีปัจจัยบวกอื่นเข้ามาเพิ่มได้ และอาจทำให้ดัชนีฯขยับตัวขึ้นไปได้ด้วยเช่นกัน

ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนในปีหน้ามองว่ายังคงให้น้ำหนักที่หุ้นในกลุ่มพลังงาน, ปิโตรเคมี และกลุ่มแบงก์ โดยมองว่าเศรษฐกิจในยุโรป และสหรัฐฯแย่ แต่เศรษฐกิจในเอเชียดีกว่าทั้งเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่น่าจะดีกว่า ทำให้นักลงทุนต่างชาติน่าจะสนใจเข้ามาลงทุนในเอเชีย และหุ้นที่ต่างชาติจะลงทุนก็มักจะเป็นหุ้นบิ๊กแคป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ