ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 13.32 จุด รับข่าวโอบามาขยายโครงการลดหย่อนภาษี

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 9, 2010 06:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) ขานรับข่าวประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐ และแกนนำพรรครีพับลิกันที่สามารถบรรลุข้อตกลงการขยายโครงการลดหย่อนภาษี ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้นักลงทุนเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ช่วงบวกของตลาดถูกสกัดลงเนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้ฉุดราคาหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ดิ่งลงด้วย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 13.32 จุด หรือ 0.12% แตะที่ 11,372.48 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 4.53 จุด หรือ 0.37% ปิดที่ 1,228.28 จุด และดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 10.67 จุด หรือ 0.41% ปิดที่ 2,609.16 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กและ Nasdaq มีอยู่ราว 7.9 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 2

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนจากข่าวโอบามาและแกนนำพรรครีพับลิกันข้อตกลงการขยายโครงการลดหย่อนภาษีที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ริเริ่มเอาไว้ โดยระบุว่าทางรัฐบาลจะขยายโครงการลดหย่อนภาษีของผู้มีรายได้ทุกระดับชั้นออกไปอีก 2 ปี พร้อมกับขยายระยะเวลาการให้สวัสดิการแก่ประชาชนที่ว่างงานหลายล้านคนออกไปอีก 13 เดือน

ก่อนหน้านี้ โอบามาและแกนนำพรรคเดโมแครตมีจุดมุ่งหมายที่จะขยายโครงการลดหย่อนภาษีเฉพาะบุคคลที่มีรายได้น้อยกว่า 200,000 ดอลลาร์ และคู่สมรสที่มีรายได้น้อยกว่า 250,000 ดอลลาร์ต่อปี โดยไม่รวมถึงผู้เสียภาษีที่มีฐานะร่ำรวย

โอบามาเชื่อว่า การขยายโครงการลดหย่อนภาษีจะเป็นประโยชน์ต่อชาวอเมริกันและจะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยโอบามาให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวและกระตุ้นการจ้างงานเป็นลำดับต้นๆ ขณะที่นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์คาดว่า การขยายโครงการลดหย่อนภาษีจะช่วยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 0.5-1% ในปีหน้า

แต่ภาวะการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างผันผวนเนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ซึ่งฉุดหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงหุ้นบริษัทพลังงานร่วงลง นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ รวมถึงการทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสำหรับรัฐบาล ภาคเอกชนและผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งนั้น การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้น โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น 2.9% หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ปิดพุ่ง 3.72% และหุ้นลินคอล์น เนชันแนล กรุ๊ป ปิดพุ่ง 7.50%

หุ้นแมคโดนัลด์ ปิดร่วง 1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายเดือนพ.ย.ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่หุ้นฟอร์จูน แบรนด์ส ปิดบวก 1% ขานรับแผนการกระจายธุรกิจของบริษัท

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย. ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. และกระทรวงการคลังสหรัฐจะเปิดเผยงบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนพ.ย.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางจีน หลังจากมีกระแสคาดการณ์ในวงกว้างว่าจีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ โดยไชน่า ซิเคียวริตีส์ สื่อรายใหญ่ของจีนคาดว่า ธนาคารกลางจีนจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่รัฐบาลจีนจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคประจำเดือนพ.ย.ในวันจันทร์ที่ 13 ธ.ค.นี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ