โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้เติบโตมากจากผลในการขายหุ้น PTTCH ให้ผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP)เป็นจำนวน 236 ล้านหุ้น(15.59%)ที่ราคา 140 บาทต่อหุ้น มูลค่าประมาณ 33,000 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 8,800 ล้านบาทที่จะบันทึกในงบการเงินไตรมาส 4/53
หลังรายการดังกล่าว SCC จะยังเหลือหุ้น PTTCH อยู่เท่ากับ 67 ล้านหุ้น(4.42%) ซึ่งโบรกเกอร์หลายรายคาดว่า SCC จะทยอยขายออกจนหมด เพื่อนำเงินไปใช้ในการลงทุนด้านอื่น จึงยังต้องติดตามว่าเงินที่ได้รับจากการขายหุ้น PTTCH นั้น SCC จะนำไปลงทุนโครงการใดที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนเท่าเทีบมกับที่เสียโอกาสไม่ได้รับส่วนแบ่งกำไรจาก PTTCH
และคาดว่าปี 54 กำไรจะเติบโตจากผลการขยายกำลังการผลิตกลุ่มปิโตรเคมีจากที่ลงงทุน 1.55 แสนล้านบาท และวัฎจักรปิโตรเคมีเป็นขาขึ้นในช่วง 54-56
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.กสิกรไทย ซื้อ 455.00 บล.ทิสโก้ ซื้อ 436.00 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 380.00 บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 370.00 บล.เอเซียพลัส ถือ 365.50 บล.เกียรตินาคิน ซื้อเมื่ออ่อนตัว 345.00
น.ส.วิชชุดา ปลั่งมณี รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า SCC ขายหุ้น PTTCH 15.59% ได้กำไรหลังภาษี 8,800 ล้านบาทจะบันทึกกำไรในไตรมาส 4/53 ทำให้กำไรดีขึ้น จากปกติไตรมาส 4 จะมีผลประกอบการอ่อนตัว และเงินที่ขายหุ้น PTTCH จะนำไปลงทุนโครงการอื่น ซึ่งบริษัทยังไม่ได้ระบุ
แต่ก็มองว่าบริษัทเสียผลประโยขน์ที่ได้รับกำไรจาก PTTCH ออกไป และยังไม่แน่ใจว่า SCC จะมีแผนขายเงินลงทุนต่อเนื่องอีกหรือไม่ โดยก่อนหน้านี้ระบุแต่ว่าจะขายเงินลงทุนธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ซึ่งการขายหุ้น PTTCH ครั้งนี้ถือว่าไม่ได้อยู่ในความคาดหมาย
ทั้งนี้ ราคา SCC ใกล้เคียงราคาเหมาะสมที่ 345 บาท คงต้องดูอนาคต และราคาปิโตรเคมีปรับดีขึ้น และต้องดูแนวโน้มปี 54 จะฟื้นตัวดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ตอนต้น ส่วนต่างผลิตภัณฑ์หรือสเปรดสูงขึ้นจะทำให้โอกาสกำไรปีหน้าดีกว่าก็มีมากขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มปิโตรเคมีเป็นสัดส่วนรายได้หลัก และคิดเป็นสัดส่วน 45% ของกำไร ถือว่าเป็นกลุ่มธุรกิจหลักของ SCC
"เงินที่ได้เขาเตรียมไปลงทุนในระยะยาว ถ้าราคาอ่อนตัวก็น่าจะเข้าซื้อได้จะ และเป็นการลงุนระยะยาว หรือ 1 ปีขึ้นไป" น.ส.วิชชุดา กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส เห็นว่า จุดที่ทำให้ SCC ตัดสินใจขายหุ้น PTTCH นั้นมองว่า PTTCH และ PTTAR จะควบรวมกิจการกัน หากถึงตอนนั้นสัดส่วนการถือหุ้นของ SCC ใน PTTCH จะลดลงแน่นอน และจะไม่สามารถรับรู้ส่วนได้ส่วนเสียตามมาตรฐานบัญชีที่ต้องถือหุ้นเกิน 20% ประกอบกับราคาหุ้น PTTCH ปรับขึ้นมาระดับสูง
หาก SCC ยังต้องการถือหุ้นใหม่ที่หลังควบรวมกิจการ PTTCH และ PTTAR แล้ว SCC คงต้องใช้เงินจำนวนหมื่นล้านบาทในการซื้อหุ้นเพื่อให้ได้สัดส่วนเกินกว่า 20% โดยหลังการขายหุ้น PTTCH จะทำให้ SCC เหลือหุ้นใน PTTCH ราวกว่า 4% จากเดิมถือ 22%
ฉะนั้น การขายหุ้น PTTCH แล้วได้เงินมาจำนวนประมาณ 3 หมื่นล้านบาท นำเงินไปลงทุนในโครงการโดยมุ่งไปธุรกิจปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง และ กระดาษ ในและต่างประเทศ ทั้งการเข้าควบรวมกิจการ หรือ สร้างโรงงานใหม่ตามที่ผู้บริหารได้เคยประกาศไว้
นักวิเคราะห์กล่าวว่า บล.เอเซียพลัสได้ปรับลดประมาณการกำไรในปี 54 ลง 9% มาที่ 2.9 หมื่นล้านบาท ทำให้ปรับราคาเป้าหมายลงเหลือ 365.50 จาก 370.00 บาท จากการที่ SCC จะสูญส่วนแบ่งกำไรจาก PTTCH ที่คาดว่าจะได้รับประมาณ 4.4 พันล้านบาท หรือประมาณ 11-12% ของกำไร ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่า SCC จะนำเงินไปลงทุนอะไรเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเท่าเทียมกัน
"เราปรับลดจาก"ซื้อ"เป็น"ถือ"เพราะราคาขึ้นมาใกล้ Fair valur และ upside ก็จะเหลือน้อย แต่ถ้าราคาอ่อนตัวก็น่าสนใจเข้าซื้อ และเราเปลี่ยนวิธีอิง P/E เป็น discount cashflow (DCF) เพื่อให้สะท้อนภาพในอนาคต 5 ปีของปูนซีเมนต์ไทย เพราะเป็นช่วงที่เริ่มเก็บเกี่ยวผลตอบแทนเงินลงทุนในช่วงที่ผ่านมา" นักวิเคราะห์กล่าว
บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เห็นว่าจากการขายหุ้น PTTCH มูลค่า 33,000 ล้านบาท และมีกำไรหลังภาษี 8,800 ล้านบาท ที่จะรับรู้กำไรในไตรมาส 4 นี้ ทำให้ปรับประมาณกำไรในปี 53 ขึ้นเป็น 35,608 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 29.67 บาท) จากประมาณการเดิม 26,808 ล้านบาท
ในเบื้องต้นคงประมาณการกำไรปีหน้าที่ 32,097 ล้านบาท ที่คาดหมายว่าในปีหน้า SCC จะรับรู้กำไรในส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในโครงการต่างๆ คือ LLDPE 350,000 ตัน, Specialty Elastomers 220,000 ตัน, Propylene Oxide 390,000 ตัน และ MMA 90,000 ตัน เข้ามาช่วยชดเชยส่วนแบ่งกำไรที่หายไปของ PTTCH
"เรายังมองกำไรของ SCC จะเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นรอบใหญ่ในช่วงปี 2554-2556 จากเก็บเกี่ยวผลลงทุนสูงในอดีตถึง 1.55 แสนล้านบาท ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว และเน้นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม และคาดจะจ่ายปันผลขึ้นมาเป็น 15-16 บาท คงคำแนะนำ"ซื้อ"โดยประเมินราคาเป้าหมาย 380 บาท บนฐาน P/E ปี 2554 เท่ากับ 14 เท่า" บทวิเคราะห์ ระบุ