นายเฉลิมชัย เขียวประดิษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด วิสาหกิจกรุงเทพมหานคร(กทม.) และในฐานะประธานคณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาโครงการส่วนต่อขยายบีทีเอสสายสีลม ช่วงตากสิน-เพชรเกษม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทางกรุงเทพธนาคมได้เปิดซองราคาของผู้รับเหมา 2 รายที่ยื่นประมูล เมื่อวันที่ 27 พ.ย.53 คือ 1.บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) 2.กลุ่มกิจการร่วมค้าเอสทีเอเอส ประกอบด้วย บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC)และบริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง(1964) จำกัดซึ่งผลจากเปิดซองด้านเทคนิคแล้ว ทั้ง 2 บริษัท ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเกิน75% จากเกณฑ์ที่กำหนดไว้ต้องไม่ต่ำกว่า 75% ขึ้นไป
สำหรับผลผลการเปิดซองราคา ปรากฎว่ากลุ่มกิจการร่วมค้าเอสทีเอเอส เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด เสนอ 5,799 ล้านบาท ต่ำจากกรอบราคากลาง 5,915 ล้านบาท ประมาณ 116 ล้านบาท หรือ 2% และต่ำกว่าราคาที่บมจ.อิตาเลียนไทยเสนอราคา 120 กว่าล้านบาท โดยบมจ.อิตาเลียนไทยเสนอราคาอยู่ที่ 5,920,269,155.47 บาท สูงกว่าราคากลางประมาณ 5 ล้านบาท หรือ0.08%
"จากนี้จะต่อรองราคาผู้เสนอราคาต่ำสุดว่าจะลดราคาได้อีกหรือไม่ จากนั้นจะส่งราคาที่ได้ข้อสรุปแล้วให้กทม.พิจารณาอนุมัติ เพื่อจะลงนามในสัญญากับผู้รับเหมาและเข้าพื้นที่ก่อสร้างในวันที่ 29 ธันวาคมนี้ เพื่อให้งานก่อสร้างเสร็จตามกำหนด 720 วัน เพื่อให้เปิดใช้บริการวันที่ 5 ธันวาคม 2555 "นายเฉลิมชัยกล่าว
สำหรับโครงการส่วนต่อขยายบีทีเอสสายสีลม ช่วงตากสิน-เพชรเกษม มีระยะทาง 5.3 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 5,915 ล้านบาท เนื้องานมี 2 ส่วน คือ 1.งานโครงสร้างพื้นฐาน มีรื้อย้ายสาธารณูปโภค ติดตั้งทางยกระดับ ยาวประมาณ 800 เมตร ติดตั้งสถานี 4 สถานี มีสถานีโพธิ์นิมิตร สถานีรัชดา-ราชพฤกษ์ สาถนีวุฒากาศ และสถานีบางหว้า ติดตั้งระบบราง ยาว 5.3 กิโลเมตร และติดตั้งกำแพงเสียง
2.งานระบบการเดินรถ(ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล) มีติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ ระบบสื่อสาร ระบบจ่ายไฟฟ้า ระบบควบคุมและจัดเก็บข้อมูล ระบบไฟฟ้าและเครื่องกลในสถานีที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบรถไฟฟ้า
ขณะที่ผู้แทนจากกิจการร่วมค้าเอสทีเอเอส กล่าวว่า คงต้องรอนโยบายจากผู้บริหารว่าจะสามารถลดราคาได้อีกหรือไม่ แต่ราคานี้น่าจะเหมาะสมแล้ว และคาดว่า จะก่อสร้างให้เสร็จทันกำหนด 720 วันแม้ว่าจะเป็นงานที่เร่งให้เสร็จโดยเร็วก่อนที่ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะครบวาระวันที่ 11 ม.ค.56 นี้ และอีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องเร่งงาน เนื่องจากหากงานไม่เสร็จตามกำหนดจะถูกปรับวันละ 30 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก
นอกจากนี้ทางกลุ่มบริษัทจะเร่งเจรจากับบริษัทซัพพลายเออร์ ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็ง เพื่อขอล็อกราคาและเร่งสั่งซื้อชิ้นส่วนงานระบบอานัติสัญญาณและราง เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นทุนสูงขึ้นหากเงินค่าบาทกลับมาอ่อนตัวอีก
รายงานข่าวแจ้งว่า ทางกรุงเทพธนาคม จะต่อราคากับกิจการร่วมค้าเอสทีเอเอสลงอีก 5% จากราคาที่ผู้รับเหมาเสนอมา 5,799 ล้านบาท หรือประมาณ 280 กว่าล้านบาท เนื่องจากพบว่ามีรายการงานระบบอาณัติสัญญาณและงานราง เสนอราคามาสูงกว่าราคากลางกำหนด ประกอบกับช่วงนี้เงินบาทแข็งค่า การนำเข้าสินค้าได้ถูกลงอีก คาดว่าหลังต่อรองแล้ว ราคาก่อสร้างสุดท้ายน่าจะอยู่ที่ 5,500 กว่าล้านบาท