(เพิ่มเติม) CPFทุ่มลงทุน 3 หมื่นลบ.ช่วง 5 ปีเน้นตปท.ดันกำไรโตปีละ 5-10%-รายได้ 10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 14, 2010 10:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF)วางแผนช่วง 5 ปี (ปี 54-58)ทุ่มงบลงทุน 3 หมื่นล้านบาท ขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยจะเน้นหนักในต่างประเทศ ได้แก่ อินเดีย รัสเซีย ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม ที่มีโอกาสพัฒนากิจการครบวงจร ช่วยผลักดันรายได้ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้เติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 53 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 1.85 แสนล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะเติบโตปีละ 5-10%

สำหรับผลการศึกษาการขยายการลงทุนในกัมพูชาและบังคลาเทศนั้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ โดยเบื้องต้นบริษัทได้เจรจากับบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจและมีโรงงานอยู่แล้ว

ทั้งนี้ งบลงทุน 3 หมื่นล้านบาท จะแบ่งสัดส่วนลงทุนในต่างประเทศราว 60% ส่วนอีก 40% เป็นการลงทุนในประเทศ โดยอนาคตมองว่าตลาดในประเทศจะทยอยอิ่มตัว

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าวว่า ปีหน้าบริษัทจะเน้นลงทุนใน 4 ประเทศ คือ อินเดีย รัสเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เนื่องจากเห็นว่ามีโอกาสเติบโตมาก โดยบริษัทจะขยายธุรกิจทั้งในด้านสัตว์น้ำและสัตว์บก โดยจะทำให้เป็นลักษณะครบวงจรเช่นเดียวกับในไทย ทั้งด้านอาหารสัตว์(FEED) การเลี้ยงสัตว์และขายเนื้อสัตว์(FARM) และธุรกิจอาหารสำเร็จรูป(FOOD)

"โอกาสในต่างประเทศดีกว่ามาก CPF จะเติบโตจากฐานที่เราลงทุนในต่างประเทศ 10 ประเทศ อีก 5 ปีรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศจะมากกว่ารายได้จากในประเทศ...วันนี้ CPF เรายังหนุ่ม เรายังขยายตัวไปได้ ยังมีกำลังอีกเยอะที่จะทำอะไรได้อีกมาก ผมว่าอีก 10 ปีเรายังมั่นใจว่ารายได้เราเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%" นายอดิเรก กล่าว

นายอดิเรก กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปี 53 ยอดขายในประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งมีอัตราเติบโตเพียงปีละ 5% จากปีก่อน ส่วนธุรกิจที่บริษัทลงทุนในต่างประเทศมีสัดส่วนราว 27% ของรายได้รวม หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 5 หมื่นล้านบาท อัตราเติบโตปีละ 20% ขณะที่รายได้จากการส่งออกอยู่ที่ราว 2.5 หมื่นล้านบาท อัตราเติบโต 20% ต่อปี

"ความสามารถการทำกำไรเรายังรักษาไว้ได้ เรายังหวังว่าฐานธุรกิจ FOOD Retail เช่น ไก่ย่าง 5 ดาว , เชสเตอร์ กริลล์ และ การลงทุนในต่างประเทศได้มาร์จิ้นดีกว่าด้วย"กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าว

นายอดิเรก กล่าวว่า แม้ผลประกอบการในไตรมาส 4/53 จะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 3/53 เนื่องจากเป็นช่วง low season แต่ทั้งปีคาดว่ากำไรสุทธิปี 53 จะสูงเป็นประวัติการณ์

จากนั้นต้นปีหน้าผลประกอบการในไตรมาส 1/54 ก็จะอ่อนตัวเช่นกันตามฤดูกาล โดยในปีหน้า นายอดิเรก มองว่าสินค้ากุ้งจะกลายเป็นสินค้าโดดเด่นและทำรายได้กำไรได้ดี เนื่องจากพื้นที่เลี้ยงกุ้งของโลกลดลงจากภัยธรรมชาติและปรากฎการณ์ธรรมชาติ เช่น จีน เวียดนาม และ แถบอเมริกาใต้ ทำให้ธุรกิจกุ้งไทยในปีหน้ายังโดดเด่นต่อเนื่อง

ขณะที่สินค้าไก่ ราคาขายปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้น และมีกระแสข่าวว่าทางสหภาพยุโรป(อียู)อาจจะเปิดให้นำเข้าไก่สดได้

นายอดิเรก กล่าวว่า ด้านวัตถุดิบในปีหน้าแม้ว่าจะมีความเสี่ยงเรื่องของผลผลิต แต่บริษัทได้สั่งซื้อกากถั่วเหลืองล่วงหน้าไปถึงกลางปี 54 ก่อนที่จะมีผลผลิตใหม่ออกสู่ตลาด ขณะที่เงินบาทที่แข็งค่าไม่มีผลกระทบริษัท เพราะบริษัทมีการนำเข้าวัตถุดิบประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาทใกล้เคียงกับมูลค่าส่งออก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ