นายประพจน์ พลพิพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) (SPPT)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้รวมปี 54 ที่ 1,050 ล้านบาท หรือเติบโต 18% จากปี 53 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 860 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีการขยายกำลังการผลิตสินค้า Non HDD และจะเริ่มรับรู้ธุรกิจใหม่ทั้งอุปกรณ์ Aerospace และ Medical รวมทั้งธุรกิจของบริษัทย่อยจะพลิกเป็นกำไรหลังได้รับงานใหม่เข้ามา ขณะที่แนวโน้มราคาวัตถุดิบในปีหน้าไม่ว่าจะเป็นทองเหลืองหรือสแตนเลสยังคงไม่ผันผวนมากนัก
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากบริษัทแม่ 90% และบริษัทย่อย 10%
นายประพจน์ กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 54 ไว้ที่ 100 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิตในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (Non Hard Disk Drive) โดยจะมีการปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจใหม่ แบ่งผลิตภัณฑ์ Non HDD ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ชิ้นส่วนกล้องถ่ายรูปและการประกอบมอเตอร์สำหรับกล้องถ่ายรูป(Imaging), 2.ชิ้นส่วนยานยนตร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง(Automotive), 3.ชิ้นส่วนอากาศยาน(Aerospace) และ 4.สินค้าที่ใช้ทางการแพทย์ และ Mini-Implant(Medical)
ขณะนี้บริษัทเตรียมสถานที่ขยายกำลังการผลิตไว้เรียบร้อยแล้ว และในส่วนของระบบการควบคุมคุณภาพก็ได้รับการรับรองแล้วส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็รอการรับรองในต้นปี 54 บริษัทฯคาดว่ารายได้จากธุรกิจ Aerospace และ Medical ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่จะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในปลายไตรมาส 2/54
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากธุรกิจฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (Hard Disk Drive) 70% และธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (Non Hard Disk Drive) 30% ขณะที่ยอดขายในประเทศมีสัดส่วน 90% และส่งออก 10%
นายประพจน์ กล่าวว่า ด้านธุรกิจแปรรูปพลาสติกเป็นน้ำมันของบริษัทย่อย คือ บริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ เอ็นเนอยี่ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนท์ จำกัด(SPEE)ล่าสุดเซ็นสัญญากับเทศบาลหัวหินว่าจ้างแปรรูปขยะ คิดเป็นมูลค่างาน 120 ล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี โดยจะทำ Land Fill Mining ซึ่งเป็นการนำเศษพลาสติกมาปรับปรุงคุณภาพป้อนเข้าเครื่องแปรรูปเป็นน้ำมัน จะเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 1/54
การรับงานในครั้งนี้คาดว่าจะทำให้ผลประกอบการของ SPEE สามารถพลิกฟื้นจากที่ขาดทุนต่อเนื่องมาเป็นกำไรได้ในปี 54 ซึ่งก็จะส่งผลดีต่องบกำไรขาดทุนของ SPPT ด้วย
ส่วนผลประกอบการในปี 53 นายประพจน์ กล่าวว่า บริษัทยังคงมั่นใจว่ารายได้ปี 53 จะเป็นไปตามเป้าที่ 860 ล้านบาท แต่ในส่วนของกำไรอาจจะพลาดจากเป้าหมายที่วางไว้เล็กน้อย เนื่องจากช่วงไตรมาส 3/53 และไตรมาส 4/53 ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาก ส่งผลให้รายได้และกำไรจากการส่งออกโดยตรงของบริษัทลดลง
ประกอบกับ ความต้องการสินค้าในตลาดในช่วงครึ่งปีหลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้ามีอำนาจในการต่อรองราคามากขึ้น และการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นก็ทำให้ลูกค้าขอให้บริษัทช่วยเหลือลดต้นทุนให้ส่วนหนึ่ง
แต่ทั้งนี้เชื่อว่ากำไรสุทธิในปี 53 จะดีกว่าปี 52 อย่างแน่นอน หลังจาก 9 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทฯมีกำไรสุทธิแล้ว 91.92 ล้านบาท มากกว่าปี 52 ทั้งปีที่มีกำไรสุทธิ 56.96 ล้านบาท
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการช่วงไตรมาส 4/53 ทั้งรายได้และกำไรคาดว่าจะลดลงจากไตรมาส 3/53 แม้ว่าโดยปกติแล้วช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของทุกปีจะเป็นช่วง High Season แต่ปีนี้ยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกถือว่าเติบโตอย่างมาก โดยเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปี 52 จึงทำให้ยอดขายในครึ่งหลังของปีนี้เริ่มชะลอตัวลง
“ธุรกิจของบริษัทที่ผ่านมาจะเป็นไปตามฤดูกาล คือ ช่วง peak สุดจะเป็นช่วงไตรมาส 3 และ 4 แต่ในปี 53 เปลี่ยนไป เพราะไตรมาส 1 และ 2 ปีนี้ถือว่าเติบโตอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 3 และ 4 ของปี 52 ดังนั้นไตรมาส 4 ผลประกอบการไม่ว่าจะยอดขายหรือกำไรคงไม่ดีกว่าไตรมาส 3"นายประพจน์ กล่าวว่า