สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงาน SET Note Quarterly Corporate Update ไตรมาส 3/53 ว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 150.65 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 17.60% จากไตรมาส 2/53 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากเงินลงทุน
อย่างไรก็ดี กำไรจากการดำเนินงานเริ่มมีสัญญาณการชะลอตัวในบางอุตสาหกรรม ขณะที่เครื่องชี้ทางการเงินยังสะท้อนความเข้มแข็งทั้งด้านฐานะทางการเงินและสภาพคล่อง ขณะที่ด้านการระดมทุนยังมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาวะตลาดทุนที่เอื้ออำนวย
ในไตรมาส 3/53 บริษัทจดทะเบียนมีรายได้จากการขายและบริการรวม 1,805.03 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ประสิทธิภาพด้านการบริหารต้นทุนปรับลดลงเล็กน้อย โดยมีสัดส่วนของต้นทุนต่อรายได้ที่ 91.43% เพิ่มขึ้นจาก 90.49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรจากการดำเนินงาน 154.72 พันล้านบาท ลดลง 3.85% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเฉพาะในเรื่องผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และผลกำไรจากเงินลงทุนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิก่อนหักภาษีและดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น ประกอบกับภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง ส่งผลให้ในไตรมาส 3/53 บริษัท จดทะเบียนมีกำไรสุทธิ 150.65 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรสุทธิที่ 7.76% เทียบกับ 6.56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ พบว่าจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรมีการกระจายตัวมากขึ้น สะท้อนจากจำนวนบริษัทที่มีผลกำไรสุทธิเป็นบวกมีจำนวนถึง 401 บริษัท จากทั้งหมด 506 บริษัท คิดเป็น 79.25% ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/52 ที่ 78.78% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/53 ที่ 78.64 %
ด้านดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (ไม่รวมกลุ่มการเงิน)ในไตรมาส 3/53 ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับทิศทางของผลประกอบการที่ปรับสูงขึ้น โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) 4.00% และมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมอยู่ที่ (ROA) 1.80% ขณะที่มีฐานะทางการเงินอยู่ในเกณฑ์มั่นคง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 1.15 เท่า ลดลงจาก 1.18 เท่าในไตรมาส 3/52 และมีอัตราส่วนความสามารถชำระดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio) อยู่ที่ 8.46 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 6.36 เท่าในไตรมาส 3/52
ด้านการลงทุนของบริษัทจดทะเบียน (ไม่รวมกลุ่มการเงิน) สัดส่วนบริษัทจดทะเบียนที่ลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวรปรับลดลงเล็กน้อย โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 80.48% ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ลดลงจาก 81.17% ในไตรมาส 3/52 โดยมูลค่าการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวรในไตรมาส 3/53 อยู่ที่ 82.65 พันล้านบาท ลดลง 17.81% จากไตรมาส 3/52 ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากมูลค่าการลงทุนในกลุ่มทรัพยากรปรับลดลง
ด้านการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่เอื้ออำนวยเป็นปัจจัยสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนในรูปตราสารทุนในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/53 มีมูลค่าระดมทุนรวม 21.71 พันล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้น 97.40% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/52 เป็นการระดมทุนจากบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ 2 บริษัท และ 1 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ารวม 1.09 พันล้านบาท จาก บมจ. ออฟฟิศเมท(OFM), บมจ. ไอเอฟเอส แคปปิตอล(ประเทศไทย)(IFS) และ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เมอร์เคียว สมุย (MSPF) ขณะที่มีการระดมทุนในตลาดรองของ SET และ mai มูลค่ารวม 20.63 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการระดมทุนของ บมจ. การบินไทย (THAI)
ในการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานไตรมาส 3/53 กับไตรมาส 2/53 พบว่า บริษัทจดทะเบียนมีสัญญาณการชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ปัจจัยเฉพาะเรื่องผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและผลกำไรจากเงินลงทุนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้น 17.60% จากไตรมาส 2/53 เช่นกัน และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนปรับดีขึ้นจากไตรมาส 2/53