โบรกฯเห็นพ้องเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ(BGH)ประเมินการเข้าซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดของ เฮลท์ เน็ตเวิร์ค(เครือโรงพยาบาลพญาไท และเครือโรงพยาบาลเปาโล)เป็น positive ดีล ภายหลังควบรวมกันแล้วน่าจะทำให้ BGH เป็นโรงพยาบาลชั้นนำสุดของประเทศ
ทั้งนี้ คาดว่าจะสร้าง value ได้ในระยะกลาง-ระยะยาว มีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และยังจะทำให้รายได้สูงขึ้นด้วย ซึ่งฐานลูกค้าของพญาไทเป็นระดับกลาง แต่ของ BGH จะมีลูกค้าระดับสูง โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก นอกจากนี้จำนวนงโรงพยาบาลก็จะเพิ่มขึ้นด้วย จากเดิม 19 โรงพยาบาล เพิ่มเป็น 27 โรงพยาบาล อีกทั้งตามแผนในอีก 1-2 ปีข้างหน้าทาง BGH ก็มีแผนจะเปิดสาขาอีก 2 แห่งที่หาดใหญ่ และที่โคราช
ส่วนรายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 40% จากรายได้ปัจจุบันของกลุ่ม BGH คิดเป็น 5% ของกำไรกลุ่ม BGH
อย่างไรก็ดี BGH อาจจะได้รับผลกระทบในแง่ของการเกิดไดลูดชั่นคิดเป็นประมาณในช่วง 15.7-22% แต่ BGH ก็จะมีกำไรส่วนเพิ่มขึ้นมา 30% ซึ่งจะครอบคลุมในส่วนที่เกิดไดลูดฯได้ทั้งหมด ดังนั้น ดีลนี้จึงน่าจะเป็นผลดีมากกว่า
หุ้น BGH ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 43.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.25 บาท(+10.83%)มูลค่าซื้อขาย 560.71 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 44 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 45 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 42.75 บาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) Credit Suisse Outperform 52.00 บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ซื้อ 48.66 บล.ทรีนีตี้ ซื้อ 50.00 บล.ทิสโก้ ซื้อ 53.00 บล.กสิกรไทย ซื้อ 52.50 บล.บัวหลวง ซื้อ 47.00 บล.ภัทร ซื้อ 46.50 บล.เอเชีย พลัส ซื้อ 46.00 บล.เคที ซีมิโก้ ซื้อ 46.00 บล.เกียรตินาคิน เก็งกำไร 42.00
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า การที่ BGH จะเข้าซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดของ เฮลท์ เน็ตเวิร์ค(เครือโรงพยาบาลพญาไท และเครือโรงพยาบาลเปาโล)มองว่าเป็น positive ดีล เพราะโรงพยาบาลที่จะได้มาเป็นโรงพยาบาลที่มีการฟื้นตัวแล้ว โดยเฉพาะเครือพญาไท อีกทั้งมูลค่าหุ้น BGH ที่ใช้ในการแลกก็ไม่ได้ราคาต่ำเกินไป โดยแลกที่ราคา 37.75 บาท/หุ้น
ภายหลังควบรวมกันแล้วน่าจะทำให้ BGH เป็นโรงพยาบาลชั้นนำสุดของประเทศได้ เพราะ BGH จะโฟกัสลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก ขณะเดียวกันทางฝั่งพญาไทก็เป็นที่นิยมใช้บริการสำหรับลูกค้าคนไทย อีกทั้งตามแผนในอีก 1-2 ปีข้างหน้าทาง BGH ก็มีแผนจะเปิดสาขาอีก 2 แห่งที่หาดใหญ่และโคราช ดังนั้น ดีลที่เกิดขึ้นในครั้งนี้คาดว่าจะสร้าง value ได้ในระยะกลาง-ระยะยาว
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สำนักวิจัย บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ดีลของ BGH จะทำให้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น และยังจะทำให้รายได้สูงขึ้นด้วย โดยฐานลูกค้าของพญาไทเป็นระดับกลาง แต่ของ BGH จะมีลูกค้าระดับสูง นอกจากนี้จำนวนโรงพยาบาลก็จะเพิ่มขึ้นด้วย จากเดิม 19 โรงพยาบาล จะเพิ่มเป็น 27 โรงพยาบาล
ทั้งนี้ หุ้น BGH อาจจะได้รับผลกระทบในแง่ของการเกิดไดลูดชั่นคิดเป็นประมาณ 22% แต่ BGH ก็จะมีกำไรส่วนเพิ่มขึ้นมา 30% ซึ่งจะครอบคลุมในส่วนที่เกิดไดลูดฯได้ทั้งหมด ดังนั้น ดีลนี้จึงน่าจะเป็นผลดีมากกว่า
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 53 ไว้ที่ 2,498 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 1,725 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2,927 ล้านบาท ทั้งนี้ ประมาณการกำไรนี้จะยังไม่ได้คิดรวมดีลที่เกิดขึ้นล่าสุด
ด้านบล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"เก็งกำไร"หุ้น BGH โดยประเมินการเพิ่มทุนจดทะเบียน 307.197 ล้านหุ้น (พาร์หุ้นละ 1 บาท) เป็น 1,553.39 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ จะเกิด dilution effect ประมาณ 19.8% (กรณี Tender Offer ในส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยของ บมจ.ประสิทธิพัฒนา) ทั้งนี้ กรณี Tender Offer เป็นเงินสด จะเกิด dilution effect ประมาณ 15.7%
การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ จะทำให้กลุ่ม BGH มีโรงพยาบาลในเครือเพิ่มเป็น 27 แห่ง จากปัจจุบัน 19 แห่ง และครองส่วนแบ่งตลาดโรงพยาบาลเอกชนระดับกลาง-บน เป็นอันดับ 1 โดยเบื้องต้นประโยชน์ที่ BGH ได้ภายหลังซื้อกิจการครั้งนี้ จะเพิ่มมูลค่าต่อหุ้นประมาณ 4.00 บาท จากมูลค่าเหมาะสมปัจจุบันที่ 38 บาท โดยอิงสมมติฐานรายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 40% จากรายได้ปัจจุบันของกลุ่ม BGH คิดเป็น 5% ของกำไรกลุ่ม BGH, EBITDA มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 15% จากปัจจุบัน EBITDA ของกลุ่ม BGH คิดเป็น 1% ของกำไรกลุ่ม BGH
ทั้งนี้ พิจารณาราคาหุ้น BGH วานนี้ ปรับขึ้นปิดตลาดที่ราคาสูดสุดของวัน มองว่าประเด็นบวกดังกล่าวสะท้อนสู่ราคาหุ้นไปบางแล้ว ทำให้เหลือ upside 7% จากมูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 42 บาท(ประเมินเบื้องต้น)