ทริส คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ BANPU ที่ “AA-" แนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 15, 2010 17:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ.บ้านปู (BANPU) ที่ระดับ “AA-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนความเป็นผู้นำของบริษัทในตลาดถ่านหินในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนความหลากหลายของแหล่งถ่านหินและฐานลูกค้า และรายได้เงินปันผลที่มั่นคงจากธุรกิจไฟฟ้า นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการขยายตัวเชิงกลยุทธ์ของบริษัทสู่ธุรกิจถ่านหินในประเทศออสเตรเลียด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะดำเนินนโยบายการเงินที่ระมัดระวังในการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตตามแผนงาน เงินปันผลที่แน่นอนจากธุรกิจไฟฟ้าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของธุรกิจถ่านหินได้บางส่วน และราคาถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทในระยะปานกลาง

การประกาศผลการทบทวนอันดับเครดิตของ BANPU ในครั้งนี้ยังเป็นการยกเลิก “เครดิตพินิจ" แนวโน้ม “Developing" หรือ “ยังไม่ชัดเจน" ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตของบริษัทเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 หลังจากที่บริษัทประกาศเสนอซื้อหุ้น 100% ใน Centennial Coal Co., Ltd. (CEY) ประเทศออสเตรเลียด้วย

โดยระยะเวลาการเสนอซื้อหุ้น CEY สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2553 และบริษัทได้ชำระเงินทั้งหมดแล้วเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2553 บริษัทใช้เงินลงทุนรวม 2,383 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียสำหรับการซื้อหุ้น 100% ใน CEY โดยแหล่งเงินทุน 75% เป็นเงินกู้จากธนาคาร ส่วนที่เหลือ 25% มาจากเงินสดภายในของบริษัท ภายหลังการซื้อ CEY ภาระหนี้เงินกู้รวมของบริษัทบ้านปูเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงประมาณ 95,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2553 จากช่วงก่อนการซื้อกิจการซึ่งอยู่ที่ระดับ 31,071 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ทำการปรับวงเงินลงทุนเพื่อบริหารโครงสร้างเงินทุน โดยในเดือนกันยายน 2553 ได้ขายหุ้น 8.72% ที่ถืออยู่ใน PT Indo Tambangraya Megah TBK (ITM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย และได้เงินรวม 11,924 ล้านบาท โดยที่บริษัทยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ITM ในสัดส่วน 65%

ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2553 บริษัทได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด 15% ใน บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง(RATCH) และได้เงินสดกว่า 7,000 ล้านบาท โดยบริษัทนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดไปชำระคืนหนี้เงินกู้ที่มีอยู่กับสถาบันการเงิน ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวลดลงจากระดับ 50% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 หลังจากที่บริษัทรับรู้กำไรจาก CEY แล้ว

ทริสเรทติ้งกล่าวว่าการขยายกิจการสู่ประเทศออสเตรเลียเป็นไปตามกลยุทธ์ระยะยาวของ BANPU ที่ต้องการเป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานในภูมิภาคเอเชียโดยช่วยเพิ่มความหลากหลายของแหล่งถ่านหินจากปัจจุบันที่มีอยู่ในประเทศอินโดนีเซียและจีน ทั้งนี้ การกระจายความหลากหลายของแหล่งถ่านหินและการดำเนินงานไปยังหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกถ่านหินรายใหญ่เช่นออสเตรเลียจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจและบรรเทาผลกระทบจากภาระหนี้ที่สูงขึ้นหลังการลงทุนได้บางส่วน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะมีประสบการณ์และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศมาแล้วทั้งในประเทศอินโดนีเซียและประเทศจีน กระนั้นการรวม CEY เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทบ้านปูยังคงเป็นสิ่งท้าทาย โดยปัจจัยเสี่ยงในการลงทุนในประเทศออสเตรเลียที่สำคัญได้แก่การเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจถ่านหินที่กำลังจะเกิดขึ้นและความเสี่ยงในการทำธุรกิจถ่านหินในประเทศที่บริษัทไม่คุ้นเคย

ปัจจุบัน CEY เป็นผู้ประกอบการเหมืองถ่านหิน 10 แห่งในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย โดยจำหน่ายถ่านหินให้แก่ผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ CEY ผลิตถ่านหินในปริมาณ 14-15 ล้านตันต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (เป็นปริมาณการผลิตถ่านหินตามสัดส่วนการถือหุ้นของ CEY) ซึ่งเทียบเท่ากับ 60% ของปริมาณผลผลิตถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียของ BANPU

ตามรายงานของ CEY ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 CEY มีปริมาณสำรองถ่านหิน (ตามสัดส่วนการถือหุ้น) จำนวน 343 ล้านตัน โดยประกอบด้วยปริมาณสำรองที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว 90 ล้านตันและปริมาณสำรองที่มีความเป็นไปได้อีกจำนวน 253 ล้านตัน CEY มีสินทรัพย์รวม 1,412 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย มีเงินกู้จากสถาบันการเงิน 355 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และส่วนของผู้ถือหุ้นอีก 749 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย สำหรับผลประกอบการในปีงบประมาณ 2553 (สิ้นสุดเดือนมิถุนายน) นั้น CEY มีรายได้รวม 800 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียและมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 168 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งคิดเป็น 40% ของรายได้รวมและ 20% ของ EBITDA ของบริษัทบ้านปู

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 BANPU มีกำไรสุทธิสูงถึง 19,805 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นกำไรจากการขายหุ้นบางส่วนใน ITM หากไม่รวมกำไรจากการขายหุ้นบางส่วนใน ITM จำนวน 11,692 ล้านบาทแล้ว กำไรสุทธิของบริษัทจะอยู่ที่ 8,113 ล้านบาท ลดลง 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทมีกำไรลดลงเนื่องจากไม่มีผลกำไรจากการทำสัญญาซื้อขายถ่านหินล่วงหน้าจำนวนมากเช่นปีก่อน รวมถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายตัดจ่ายสำหรับโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการทำเหมืองใต้ดินของเหมือง Indominco และราคาขายถ่านหินเฉลี่ยที่ลดลงด้วย เนื่องจากราคาขายตามสัญญาบางส่วนกำหนดขึ้นในช่วงที่ราคาถ่านหินอยู่ในระดับต่ำในปี 2552 ดังนั้น ราคาขายที่รับรู้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 จึงยังไม่สะท้อนราคาถ่านหินที่ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้เต็มที่นัก EBITDA ของบริษัทปรับตัวลดลง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 16,931 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ทั้งนี้ คาดว่าราคาถ่านหินที่สูงในปัจจุบันรวมถึงการรับรู้ผลกำไรจากการดำเนินงานของ CEY จะช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการของ BANPU ปรับตัวดีขึ้นต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ