(เพิ่มเติม) AGE เป้า 5 ปีรายได้ทะลุ 1หมื่นลบ.,คาดใช้ 700-1.5 พันลบ.ซื้อหุ้นเหมืองฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 17, 2010 10:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพนม ควรสถาพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเชียกรีน(AGE)กล่าวว่า บริษัทวางแผนระยะยาว 5 ปีทำรายได้แตะ 1 หมื่นล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 30% ส่วนรายได้รวมในปีนี้คาดว่าเติบโตเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 20% โดยน่าจะเติบโตถึง 40% จากการจำหน่ายถ่านหินในประเทศเป็นหลัก

ขณะที่คาดว่าปี 54 ความต้องการถ่านหินยังเติบโต 10-20% ทำให้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปีหน้าเติบโต 40% และตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิ 5-6% จากปีนี้อยู่ที่ 4-5% เนื่องจากบริษัทคาดว่าราคาขายถ่านหินในตลาดจีนอยู่ในระดับที่ดี โดยแนวโน้มราคาถ่านหินปีหน้าคาดว่าจะยืนเหนือ 100 เหรียญ/ตัน โดยความต้องการส่วนใหญ่อยู่ในจีนและอินเดีย และบริษัทพยายามควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านขนส่ง

นายพนม กล่าวอีกว่า บริษัทยังเตรียมเข้าถือหุ้นในเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้า เพื่อการันตีซัพพลายถ่านหินเพียงพอขายและมีออร์เดอร์ที่แน่นอน โดยในปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณนำเข้าถ่านหินมาจำหน่ายประมาณ 150 ล้านตัน จากปีก่อนนำเข้ามา 120 ล้านตัน และยังมีแนวโน้มต้องการถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็นเลข 2 หลักในช่วง 2-3 ปีนี้

สำหรับการเจรจาเข้าร่วมทุนในเหมืองถ่านหิน บริษัทคาดว่าจะมีสรุปในปี 54 อย่างน้อย 1 แห่ง มูลค่าลงทุนราว 700-1,500 ล้านบาท โดยต้องการปริมาณถ่านหินสำรองราว 5-10 ล้านตัน และหากมีการร่วมทุนในเหมืองถ่านหินก็คงจะต้องมีการระดมทุน ทั้งด้วยรูปแบบตราสารทุนและตราสารหนี้เพื่อรักษาระดับหนี้สินต่อทุน(DE)ไม่ให้เกิน 1 เท่า

ด้านการเข้าถือหุ้นโรงไฟฟ้า ขณะนี้มีการเจรจาอยู่หวังว่าจะได้ข้อสรุปในไม่ช้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจถ่านหิน โดยหากมีข้อสรุปก็อาจจะไม่ต้องใช้เม็ดเงินมาก เพราะไม่ได้ต้องการถือหุ้นใหญ่ เพียงแต่ต้องการต่อยอดธุรกิจถ่านหินเท่านั้น

นายพนม กล่าวว่า บริษัทยังวางแผนหาตลาดอินเดียเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ขณะที่แนวโน้มความต้องการนำเข้าถ่านหินในจีนก็ยังเติบโตได้ทุกปี เพราะเศรษฐกิจเติบโตมาก โดยปีนี้บริษัทได้ส่งสินค้าล็อตแรกไปจีน ทำให้สามารถรับออร์เดอร์ได้มากขึ้นในอนาคต คาดว่าปีหน้าจะส่งถ่านหินไปขายในจีนได้ถึง 3 แสนตัน จากปีนี้ส่งไปขายแล้ว 3 หมื่นตัน

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะลดต้นทุน ด้วยการสร้างท่าเรือและคลังสินค้าระบบปิดที่ จ.สมุทรสาคร มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท และได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จและรับรู้รายได้ในไตรมาสแรกปี 55 รวมถึงมีแผนสร้างคลังสินค้าระบบปิดที่ จ.อยุธยา เพิ่มอีก 1 แห่ง น่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาสแรกของปีหน้า เมื่อเปิดใช้งานจะช่วยให้บริษัทลดต้นทุนการขนส่งได้ถึงปีละ 100 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ