(เพิ่มเติม) TUF คาดปี54 กำไร-ยอดขายโต 30%หลังซื้อ MWB พร้อมกลับมาปันผลตามเดิมใน3ปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 20, 2010 12:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์(TUF)คาดว่า ยอดขายในรูปดอลลาร์ในปี 54 จะเติบโต 30% และกำไรสุทธิ คาดว่าจะเติบโตทิศทางเดียวกับยอดขายหรือไม่ต่ำกว่า 30% และตั้งเป้ารายได้เติบโตไปที่ 4 พันล้านเหรียญในปี 58

ในขณะที่ปี 53 คาดว่ากำไรสุทธิจะใกล้เคียงปี 52 ที่มี 3.34 พันล้านบาท ส่วนยอดขายคาดว่าเติบโต 10% จากปีก่อน (ในรูปเงินดอลลาร์) โดยรับรู้รายได้จาก MW Brands (MWB) เพียง 2 เดือน (พ.ย.-ธ.ค.) ของรายได้ปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 650 ล้านดอลลาร๋สหรัฐ

"ปีหน้ารายได้โตกว่า 30% และ กำไรสุทธิจะโตในทิศทางเดียวกัน ซึ่งปีหน้า ยอดขายเราน่าจะได้ใกล้เคียง 3 พีนล้านเหรียญ เราจึงตั้งเป้าหมายใหม่ยอดขาย 4 พันล้านเหรียญในปี 2015 ( พ.ศ.2558) เป็นการตั้งหลักชัยใหม่ต่อไป...เราเชื่อว่าต่อไป รายได้ และ Earning (กำไรสุทธิ) เราจะเติบโตตัวเลข 2 หลัก ในทิศทางเดียวกัน" นายธีรพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้รายได้ของทั้งกลุ่ม TUF จะมาจากสินค้าที่มีแบรนด์มากกว่า 60% จากเดิม 50% จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 1-2% ในปีหน้าจากปีนี้อยู่ที่ 14-16%

ส่วนปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า บริษัทปรับเปลี่ยตามสถานการณ์ โดยปรับราคาขึ้น และลดต้นทุน โดยคาดว่าปีหน้าเงินบาทจะเฉลี่ยที่ 29 บาท/ดอลลาร์ จากปีนี้ที่คาดว่าเฉลี่ยที่ 30 บาท/ดอลลาร์

ในปี 54 หลังบริษัทเข้าดำเนินการใน MW Brands จะเน้นให้ความสำคัญเรื่องการลดต้นทุนและรวม Synergy ต่างๆ เข้าด้วยกัย รวมทั้งกลยุทธ์ด้านการตลาดที่จะใช้ MW Brands ให้มากขึ้น โดยจะขยายเข้าไปยุโรปตะวันออก รัสเซียและทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา จากปัจจุบันที่เข้าไปทำการตลาดเพียง 5 ประเทศในยุโรปเท่านั้นจากที่มี 27 ประเทศโดยจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งจาก MW Brands ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ชั้นนำในอังกฤษ ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอิตาลี ซึ่งจะช่วยให้ง่ายต่อการเข้าไปทำกิจกรรมทางการตลาด

นอกจากนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องวัตถุดิบ หรือปลาทูน่าเป็นหลัก ซึ่งเมื่อรวมกิจการ MWB จะทำให้การใช้ปลาทูน่าเพิ่มเป็น 5 แสนตัน/ปี จากเดิม 3 แสนตัน/ปี ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ใหญ่มาก จะช่วยให้มีอำนาจต่อรอง และมีการจัดการบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีข้อมูลมากขึ้น

"การเข้าซื้อ MW Brands เรามั่นใจว่า นี่จะเป็นโอกาสสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ โดย MW Brands จะเป็นการฐานการเติบโตในยุโรปให้กับบริษัท"นายธีรพงศ์ กล่าว

ดังนั้น บริษัทจะกระจายความแสี่ยงจากที่พึ่งพิงตลาดสหรัฐ มากถึงประมาณ 50% ในปีหน้าคาดว่าสัดส่วนรายได้จากสหรัฐจะลดลงมาที่ระดับเหลือ 38% ส่วนตลาดยุโรปจะเพิ่มเป็น 33% จากเดิม 11% ที่เหลือเป็นตลาดเอเชีย และตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ นับตามผลิตภัณฑ์ รายได้จากปลาทูน่าจะไม่เกิน 50% , ธุรกิจกุ้ง ไม่เกิน 20% , อาหารหมาแมว ไม่เกิน 10% ที่เหลือ จะเป็นปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล และอื่นๆ

TUF กลายเป็น ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ของโลก หรือ Global Tuna Company โดยมีรายได้ครอบคลุมทุกภูมิภาค ฐานการผลิตครอบคลุมทุกน่านน้ำ และ การใช้วัตถุดิบที่ใหญ่ที่สุด

*คาดภายใน 3 ปีกลับมาปันผลได้ตามนโยบายเดิม

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทยังให้ความสำคัญเรื่องการชำระเงินกู้ หลังจากซื้อ MW Brands ทำให้ D/E ratio ขึ้นสูง 1.7 เท่าโดยประมาณ อย่างไรก็ดี บริษัทได้มีการตั้งเป้าว่าจะลด D/E ให้กลับลงมาอยู่ในระดับ 1 เท่าใน 3 ปี

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าภายใน 3 ปีข้างหน้าจะสามารถกลับมาจ่ายปันผลได้ตามนโยบายเดิมที่อัตรา 50% ของกำไรสุทธิ โดยในปี 54 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลได้ไม่เกิน 1.2 พันล้านบาท ตามเงื่อนไขเงินกู้ หรือคิดเป็นเงินปันผลต่อหุ้นละกว่า 1.2 บาท โดยปี 52 บริษัทได้จ่ายเงินปันผลรวม 1.6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของบริษัท คิดเป็นอัตราต่อหุ้นละ 1.80 บาท/หุ้น

ฉะนั้น ในช่วง 2-3 ปีนี้จะไม่มีการลงทุนใหม่ เน้นรักษาเงินสด ลดต้นทุน และชำระหนี้ ยกเว้นการลงทุนประจำปี โดยปีหน้าจะลงทุน ไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท เพื่อปรับปรุงโรงงานที่มีอยู่ทั้งกลุ่ม จากเดิมใช้เงินปรับปรุงปีละ 1.2-1.5 พันล้านบาท

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 พันล้านบาท และมีแผนจะนำ EBITDA ที่คาดว่าจะได้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในปีหน้า นำไปชำระ เงินต้นราว 4 พันล้านบาทต่อเนื่อง 3 ปี ก็จะทำให้ Debt to Ebitda ลดลงเหลือ 2.5 เท่า ก็จะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้เหมือนเดิม จากที่มีอัตราสูงถึง 4.5 เท่า

"ผู้ถือหุ้นทุกคนเข้าได้เงินปันผลแม้ว่า yield จะต่ำลง เหลือประมาณ 2-3% แต่โอกาสที่บริษัทจะ Growth สูงมากยิ่งขึ้น ทุกคนก็เข้าใจได้ ราคาหุ้นเราก็ปรับตัวสูงขึ้น" นายธีรพงศ์ กล่าว

นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นได้รับผลกระทบจากการเพิ่มทุน มี dilution effect เพียง 9% กับการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่หรือเกือบเท่าตัวทรัพยสินของบริษัท โดยเข้าซื้อ MWB ในราคา 680 ล้านยูโร

ทั้งนี้ บริษัทมีหนี้สินรวมประมาณ 3.8-4 หมื่นล้านบาท อายุเฉลี่ย 5-6 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ